Title: Find the way
Pairing: Mercenary × Seer
Rate: PG
Note: ฟิคที่เกิดจากความชอบในสกิน Clarity และ Night Owl เลยพยายามเชื่อมเนื้อเรื่องทั้งสองสกิน…ยังไงก็ขอให้ enjoy reading นะคะ !
#Special thanks for EQOPS ♡
ขอบคุณสำหรับภาพประกอบสวย ๆ นะคะ
มีตำนานที่เล่ากันปากต่อปากเกือบศตวรรษเกี่ยวกับป่าทึบที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านทั้งสี่ทิศ…เรื่องราวของนักพเนจรไร้นามที่จะปรากฏตัวยามผู้คนจำใจต้องเดินทางผ่านเส้นทางที่ปกคลุมด้วยแมกไม้เกิดพลัดหลงไปยังเขตอันตราย หรือเมื่อถูกคุกคามโดยภัยร้ายที่เรียกว่าธรรมชาติ และ อมนุษย์
ชาวบ้านนับร้อยที่เคยเดินฝ่ากิ่งก้านและความมืดภายในป่าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเคยเจอใครคนนั้น แต่กลับไม่เคยมีคำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปลักษณ์และความเป็นมาของนักพเนจรที่ผู้คนกล่าวถึง และเล่ากันอีกว่า…จะได้พบเพียงแค่หนเดียว
หากวันใดต้องใช้เส้นทางในป่าเดินทางอีกครั้ง…ไม่ว่ามันจะดูน่าหวาดหวั่นเพียงสักเท่าไหร่ก็จะไม่ได้พบกับภัยร้ายใด ๆ ราวกับได้พรปกปักษ์คุ้มครองจากคนผู้นั้น
มันก็เป็นแค่ตำนานที่เล่ากันปากต่อปากมาเกือบร้อยปี…ไม่มีหลักประกันอะไรว่าใครคนนั้นจะมีอยู่จริง
นาอิบ ซูบีดาร์ ไม่เชื่อเรื่องราวของนักพเนจรคนนั้น…แต่ก็อดนึกถึงมันขึ้นมาไม่ได้ยามตนเองต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนถลำเข้ามาในป่าที่มีแต่แมกไม้สูงและหนาทึบดูวังเวง
มือกร้านวางทาบลงที่ลำต้นก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำหมัดแน่นด้วยความคับแค้นและระบายความอัดอั้นในอกด้วยการพรูลมหายใจออกมา…ชายหนุ่มเอนแนบหน้าผากลงที่กำปั้นที่เขาภูมิใจกับมันหนักหนา แต่ตอนนี้มันดูช่างไร้ประโยชน์เมื่อเขาเพียงคนเดียวไม่อาจต่อต้านกับทหารทั้งอาณาจักร
เหนือสุดของหมู่บ้านทิศตะวันออกคืออาณาจักรแห่งพฤกษา ดินแดนที่เต็มไปด้วยนานาพืชพันธุ์และพืชผล มันเคยเป็นอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์และสงบ อาจจะกล่าวได้ว่าที่แห่งนั้นคือสวรรค์บนผืนแผ่นดิน…จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนที่ได้สูญเสียกษัตริย์ที่รักยิ่งไป
และกลายเป็นองค์ชายวัยเจ็ดพรรษาที่ขึ้นครองราชย์…จิตวิญญาณอันชั่วร้ายที่สิงสู่อยู่ในร่างนั้น แปรเปลี่ยนสวรรค์บนดินให้กลายเป็นนรกอันเหน็บหนาวในเวลาอันรวดเร็ว มันแลกทุกอย่างเพื่อครอบครองอำนาจแห่งพฤกษาแม้ต้องสังเวยประชาชนของตัวเอง
เขาไม่อาจทนดูผู้คนที่ล้มตายและถูกสังเวยร่างให้กลายเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่งอกขึ้นมาปกคลุมอาณาจักรให้หลบอยู่ใต้แสงอาทิตย์…จึงเลือกที่จะไม่ภักดีอีกต่อไป
นาอิบยังจำแววตาของสหายรักได้…เธอมองมาด้วยความสับสนและผิดหวัง แต่เขาก็เลือกที่จะหลบหนีออกมา แม้รู้ว่าสักวันหนึ่งที่มีพลกำลังพร้อมที่จะลุกฮือต่อต้าน…เธอคนนั้นจะหันกระบอกปืนมายังเขาผู้ซึ่งเป็นคนทรยศ
“…สารเลว”
เสียงสบถด่าลอดไรฟันออกมาตามด้วยกำปั้นที่ทุบลงกับลำต้นอย่างแรงจนได้ยินเสียงใบไม้เหนือหัวเสียดสีและไหวไปตามแรง
…ฮูก
ร่างของอดีตองครักษ์หนุ่มชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตที่จะออกล่าในยามวิกาล ความคุกรุ่นในทีแรกค่อย ๆ มอดดับ ไม่ใช่เพราะเขาขลาดกลัวเสียงสัตว์ปีกตัวกระจ้อย…แต่สิ่งหนึ่งบอกเขาว่าควรจะเดินหน้าต่อไปให้ไกลกว่านี้ แม้เส้นทางเบื้องหน้าจะมืดเสียจนไม่เห็นกระทั่งแสงจันทร์ที่ลอดผ่านแมกไม้ด้านบน
สองขาเหยียบย่ำไกลออกมาจากจุดเดิม ในหัวยังคิดไม่ตกว่าเขาควรจะไปที่ไหน…ขอความช่วยเหลือกจากใคร…ประชาชนที่ยังเหลือรอดจะเป็นอย่างไร และทหารที่ต้องการจะต่อต้านเช่นเดียวกับเขา จะหลบหนีออกมาได้หรือเปล่า
คิดวกไปวนมาเสียจนแทบขาดสติ
…เพราะเสียงร้อง ฮูก ยังคงดังไล่หลังตามมาราวกับจงใจ
ฝีเท้าของชายหนุ่มเริ่มชะลอ มือซ้ายกำเข้าหากันเตรียมเหวี่ยงหากอะไรที่อยู่ด้านหลังคือสิ่งที่สามารถจับต้องและต่อกรได้ แต่หากไม่ใช่—
นาอิบหันกลับไป…เบื้องหลังพบเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาสิ่งมีชีวิต…นี่ล่ะความน่าพิศวงของป่า เขาพึมพำอยู่ในใจและก้าวขาถอยหลังเตรียมหมุนตัวกลับ
…ฮูก
สุรเสียงที่ตามไล่หลังเขามาทั้งคืนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเงาที่พาดอยู่เหนือหัว
ร่างสูงแหงนหน้าตามขึ้นไปก็เห็นร่างที่ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์หลบอยู่ใต้แสงจันทร์…ใครคนนั้นสวมชุดที่ดูมิดชิดและลึกลับด้วยความทึบทมิฬของมัน และถึงแม้จะมองไม่เห็น เขากลับรู้สึกได้ว่าตาประสานตาผ่านความมืด เนิ่นนานและนิ่งสงบ จนกระทั่งร่างที่ยืนอยู่บนกิ่งก้านเหนือหัวกระโจนลงมา
มันดูเชื่องช้าและนุ่มละมุนอย่างน่าประหลาดจนเขานึกเอะใจว่าโลกนี้หมุนช้าลงหรือเปล่า…อาจด้วยความน่าพิศวงของที่แห่งนี้ แม้ยามที่สองเท้าแตะลงพื้น เยื้องย่างเข้าหามนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจละสายตาออกจากหน้ากากที่บดบังดวงหน้านั้นไปได้
…ฮูก
เงาหนึ่งโฉบผ่านหน้าเขาไปก่อน ก่อนที่เงาอันเลือนรางของมันจะหยุดอยู่ที่ไหล่ของอีกหนึ่งชีวิต
เจ้าของเสียงร้องคือนกฮูกที่มีสีสันผิดธรรมชาติ นัยน์ตาเพียงหนึ่งเดียวจับจ้องมาที่เขาก่อนจะผินหน้าไปหาใครอีกคนและขยับเข้าไปคลอเคลียแก้มใสอย่างรักใคร่
“คนนี้หรือที่เธอตามมา…”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอื้อนเอ่ยหยอกล้อกับนกตัวจ้อยทำเอาคนมองงงเป็นไก่ตาแตก หนึ่งเป็นมนุษย์…หรืออาจจะไม่ใช่ กำลังพูดคุยกับกับนกประหลาดสีสันแปลกตาด้วยความสนิทใจเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นสัตว์เลี้ยง
“เฮ้”
เสียงทุ้มร้องทักจนทำให้เรียวนิ้วที่กำลังคลอเคลียขนสีฟ้าสว่างของสัตว์คู่ใจหยุดชะงัก ใบหน้าที่ปรากฏเพียงครึ่งล่างผินกลับมาหาใครบางคนที่เฝ้าจับตานานนับชั่วโมงตั้งแต่เท้าของอีกฝ่ายเหยียบเข้ามาในป่านี้ และจงใจเดินออกนอกเส้นทางปลอดภัยเพื่อหลบซ่อน
ชายปริศนาจ้องตรงมา ทุกอิริยาบถดูกรีดกรายและนิ่งนอนใจทั้งที่เขาเป็นคนแปลกหน้าที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางความมืดในป่าที่มีแต่ต้นไม้ขึ้นอยู่แน่นหนา และดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงจะไม่คิดปริปากอะไรออกมาก่อน
“ไม่ใช่ผีใช่ไหม ?”
“…”
“ฉันคิดว่านายคงไม่ใช่มนุษย์— แต่อย่างน้อยเราก็พูดภาษาเดียวกัน”
ตามที่ปากว่า นาอิบไม่ปักใจเชื่อว่าชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือมนุษย์ แต่สิ่งหนึ่งทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีพิษภัย…ก็แค่ประหลาด
อีกฝ่ายเอียงคอ…พร้อมเจ้าของเส้นขนสีฟ้าที่หักคอของมันไปด้านข้างอย่างพร้อมเพรียง คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันเพราะพฤติกรรมที่ดูไม่ปกติมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายขยับเท้าเข้ามาพร้อมมือที่เริ่มเคลื่อนมาใกล้ใบหน้าของเขา
“อย่า”
สิ้นเสียง มือนั้นก็ชักกลับไปอย่างว่าง่าย…ชายปริศนาทาบมือเข้าที่กลางอกของตนอย่างลังเลใจ ก่อนที่สองแขนจะยกขึ้นจับชายผ้าที่ปกปิดศีรษะให้ตกลงไปอยู่ด้านหลัง—เรือนผมสีพิสุทธิ์ และใบหูของมนุษย์ปรากฏแก่สายตาตามลำดับ
ถึงรอบด้านจะมืดมิด แต่นาอิบมันใจว่าเขาตาไม่ฝาด…เรียวปากของคนตรงหน้ากำลังฉีกเป็นรอยยิ้มที่เกร็งอยู่ในที แต่ไม่ได้ดูน่าหวาดหวั่น…กลับกัน รูปหน้าของอีกฝ่ายคงดูดีมากทีเดียวหากไร้ซึ่งหน้ากากประหลาดนั่นที่ปกปิดดวงตาไว้อยู่
“นักพเนจรใช่ไหม ?”
นาอิบตัดสินใจเอ่ยปากถามในเรื่องที่เขาคิดว่ามันไร้สาระที่สุดในชีวิต…ทว่าอีกฝ่ายดูมีท่าทีแปลกใจก่อนที่ศีรษะจะพยักหน้าขึ้นลง และ—หัวของเขาที่ดูจะว่างเปล่า
“หลงทางงั้นเหรอ”
เสียงทุ้มนุ่มที่ไม่ได้ยินมาพักใหญ่เอ่ยทักขึ้นมา ซึ่งมันสามารถเรียกสติของอดีตองครักษ์หนุ่มให้กลับมาได้ นัยน์ตาสีเปลือกไม้หลุบมองฝ่ามือที่ยื่นมาหาอีกครั้ง ซึ่งเขาก็เบือนหน้าและขยับเท้าหนีทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเข้าหา
ถึงจะรู้ว่ามาด้วยไมตรี แต่ใช่ว่าเขาจะวางใจเพียงเพราะมันเป็นการบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปาก
“เปล่า”
“หลงทางใช่ไหม”
“บอกว่าเปล่า—”
“ใจเจ้าน่ะ…หลงทางอยู่ใช่ไหม ?”
ร่างสูงสะดุดกึกเพราะถาม และมือที่เอื้อมมาเฉียดแก้มของเขาก็ชะงักไปเช่นกันทั้งที่อีกแค่ปลายนิ้วจะสามารถสัมผัสถึงผิวเนื้อดั่งที่ใจหมาย
“ไม่…ฉันไม่ได้หลงทางอะไรทั้งนั้น”
ด้วยน้ำเสียงที่ดูฉุนเฉียวขึ้นมาทำให้นักพเนจรปริศนายังต้องล่าถอยออกไป ดวงหน้าขาวผินไปหาสัตว์คู่ใจที่ขยับเข้ามาคลอเคลียและพูดคุยอะไรบางอย่างที่นาอิบไม่ได้มีส่วนข้องเกี่ยว
เนิ่นนานกว่าที่สุ้มเสียงเพียงหนึ่งเดียวจะเงียบลงโดยไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนา ผู้ที่ถูกเลื่องลือเป็นตำนานในป่าใหญ่จึงหันกลับมาให้ความสนใจกับชายที่ตนทึกทักไปว่ากำลังหลงทาง
“ที่หมู่บ้านทิศใต้…เยื้องไปอีกสักหน่อย มีผู้มีฝีมือดีมากมาย และ…ทรัพยากรที่เจ้าต้องการ”
นี่อาจจะเป็นบทสนทนาแรกที่เราคุยกันรู้เรื่องซึ่งนาอิบเองได้แสดงออกถึงความประหลาดใจว่าอีกฝ่ายรับรู้ถึงสิ่งที่ตนต้องการและกระวนกระวายมาตลอดหลายวันได้อย่างไร
“…ไปเถิด ตอนนี้ยังเหลือเวลา แต่อย่ารีรอจนกลายเป็นฝ่ายที่ถูกรุกรานอีกครั้ง”
“อำนาจพฤกษายังแผ่ขยายได้อีกไกล หากยังมีวิญญาณคอยหล่อเลี้ยง”
“ข้าคง…ไปส่งไม่ได้”
น้ำเสียงเริ่มแผ่วเบาพร้อมสองเท้าที่ขยับไกลออกไป นาอิบรู้สึกราวกับต้องมนตร์ในคราแรก หากเผลอตัวอีกนิดเดียวเขาคงย่ำเท้าไปถึงที่หมายในรุ่งสาง—แต่ประสาทสัมผัสที่ไวพอสามารถคว้าแขนที่อยู่ใต้ร่มผ้าสีทึบไว้ได้
“ถ้าไป จะไม่โผล่มาให้เห็นอีกแล้วใช่ไหม”
อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ดูบีบบังคับเอาคำตอบและตอบรับตัวเองอยู่ในที ร่างเล็กกว่าเพียงแค่ส่งยิ้มที่ดูเกร็ง ๆ ตอบกลับมา
“ฉัน— ผมยังอยากเจอคุณ”
สรรพนามที่ถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันทำเอาคู่สนทนาเกิดอาการมึนงงอยู่ลึก ๆ
“จะกลับมาขอบคุณที่ช่วยเหลือ…ถ้ารอดกลับมาล่ะก็นะ”
ประโยคท้ายดูเป็นการพูดออกมาโดยไม่ได้คาดหวังอะไร ซึ่งผู้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายที่แฝงไว้อยู่ มือเรียววางทับท่อนแขนที่ถูกกอบกุมเอาไว้อยู่ ร่างสูงยอมผละมือออกอย่างไม่อิดออดและเตรียมจากไป
“….อิไล”
นัยน์ตาสีเปลือกไม้จับไปที่เครื่องหน้าของอีกฝ่าย ในขณะที่เรียวนิ้วของบุรุษผู้นั้นแตะเข้าที่ปลายคางและไล่ขึ้นมาถึงข้างแก้มของเขา
“อิไล…นามของข้า ขานมันเมื่อเจ้าแบกร่างกลับมายังที่นี่ได้อีกครั้ง”
“….”
“—สีหน้านั่นมันอะไรหรือ ?”
ในระยะเวลาหลายเดือน อดีตองครักษ์หนุ่มจมอยู่กับความรู้สึกอมทุกข์และสิ้นหวังมาโดยตลอด…และนี่คงเป็นวันแรกที่ได้เห็นสิ่งที่ดูใกล้เคียงกับการหัวเราะมากที่สุดจากชายที่เป็นปริศนามาเกือบร้อยปี
นาอิบไม่รู้ว่าเขาทำสีหน้ายังไงในตอนแรก…แต่ตอนนี้คงต้องยอมรับว่ามุมปากของตัวเองกำลังยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ไป— ตอนนี้อย่ารีรอ…ไปนำความถูกต้องและชัยชนะกลับคืนมา”
นักพเนจร— อิไลขยับปลายนิ้วเกลี่ยที่พวงแก้มของคนตรงหน้า อาจเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ไร้ทางสู้อย่างที่ตนเคยจับตามองมาตลอดยามเยื้องย่างเข้ามาในป่านี้ จึงนึกสนใจในความกล้าหาญและบางสิ่งที่แฝงอยู่ในตัวของชายหนุ่ม
เขาไม่คิดจะปรากฏตัวอีกครั้ง…หากอีกฝ่ายไม่ร้องขอ
และหากชายตรงหน้าสามารถเอาชนะความชั่วร้ายที่กำลังแผ่ขยายอำนาจเหล่านั้นได้ เขาจะมาร่วมยินดีให้กับชัยชนะนั้น
“นาอิบ ซูบีดาร์”
“จำชื่อนี้ไว้…ชายที่จะโค่นล้มราชาแห่งพฤกษา”
มือกร้านยกขึ้นทาบฝ่ามือที่เรียวและเล็กกว่า
“ขอบคุณสำหรับทางออก— คุณนักพเนจร”
คนที่ถูกล้อเลียนหัวเราะออกมาอย่างเต็มเสียงอย่างที่ไม่เคยเป็น สองมือบีบกระชับเข้าหากันด้วยความหมายที่หลากหลาย ทั้งการตอบรับ และการสัญญา…นาอิบเลื่อนมืออีกข้างแตะเข้าที่พวงแก้มขาว ปลายนิ้วโป้งคลอเคลียขนนกสีครึ้มที่ประดับอยู่หน้ากากหมายจะเลิกมันด้วยความใคร่รู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใต้ ทว่าโดนอีกฝ่ายปรามเสียก่อน
“อย่า”
ไหล่กว้างยักขึ้นตามการขยับ และผละออกมาอย่างไม่อิดออด
“ติดไว้ตอนเจอกันคราวหน้า”
“หากเจ้าชนะ”
อาจดูเป็นพูดตลกร้าย แต่นั่นยิ่งทำให้อดีตองครักษ์หนุ่มมีความตั้งมั่นในการโค่นล้มอำนาจแห่งพฤกษาอันชั่วร้าย หนึ่งเพื่อประชาชนที่เหลือ และสอง…เพื่อตัวเขาเอง
“คุณคือรางวัล”
พูดทิ้งท้ายเอาไว้ ต่างคนต่างส่งมอบรอยยิ้มที่สื่อความหมายคล้ายคลึงกัน
…ก่อนที่ทั้งสองร่างจะแยกจากกันไกลออกไป และกลืนหายไปกับความมืดของป่าทั้งสองฝั่ง
.
.
.
…Maybe TBC?