Find the way #Merceseer

Title: Find the way

Pairing: Mercenary × Seer

Rate: PG

Note: ฟิคที่เกิดจากความชอบในสกิน Clarity และ Night Owl เลยพยายามเชื่อมเนื้อเรื่องทั้งสองสกิน…ยังไงก็ขอให้ enjoy reading นะคะ !

 

#Special thanks for EQOPS ♡

ขอบคุณสำหรับภาพประกอบสวย ๆ นะคะ

 

(เพิ่มเติม…)

Who’s the daddy? #Jachary

Title: Who’s the daddy?
Pairing: Zach Herron × Jack Avery
Rate: PG
Note: Mpreg นะคะ แต่เบา ๆ ไม่หนักสมอง

 

 


 

 

มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เข้ามาทำในสายงานเกียวกับดนตรี ผู้คนอาจจะได้เห็นคนที่ประสบความสำเร็จ—แน่นอนสิ เพราะคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น จะไม่ถูกจารึกและจดจำชื่อของพวกเขาไว้

 

 

นับเป็นโชคและผลตอบแทนความพยายามอย่างหนักในการไล่ตามความฝัน แจ็ค อเวรีคือหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ ถึงแม้จะโด่งดังเทียบกับนักแต่งเพลงคนอื่น ๆ ไม่ได้ แต่อัตราเจริญเติบโตในระยะสองปีเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาทำมันได้ และสมควรได้รับมัน

 

 

ถึงแม้ในตอนแรก…เรื่องลูกสาวของเขาอาจทำให้ใครต่อใครมองข้ามมันไปก็ตาม

 

 

ใช่ แจ็คมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน

 

 

เขาทำพลาดในวัยเพียง 19 ปี โดยไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง

 

 

ในเวลานั้น เหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตาเพราะอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็ได้เข้าไปสู่วงการดนตรีที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอด…และเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น แจ็คต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

 

 

เขาไม่เคยกล่าวโทษอีกหนึ่งชีวิตที่มีเลือดเนื้อของตัวเองปะปนอยู่ด้วย และต้องขอบคุณที่ตัวเขาเกิดมาในครอบครัวที่ Positive Thinking โคตร ๆ และแจ็คเองก็มองว่าทุกชีวิตมีคุณค่าและสมควรได้ใช้มัน

 

 

เขาเลยเลือกที่จะให้เด็กคนนี้มีชีวิตต่อไป

 

 

แจ็คเริ่มทุกอย่างใหม่ในช่วงอายุที่กำลังจะย่างเข้า 21 เขาพยายามอย่างหนักในการพิสูจน์ทั้งความมุ่งมั่น…และเขาทำมันสำเร็จ ทุกความพยายามมีผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับว่ามันจะมากน้อยและพอใจกับมันขนาดไหน

 

 

แจ็ค อเวรีในวัย 24 ปี ประสบความสำเร็จทั้งในด้านอาชีพ ชื่อเสียง รวมถึงครอบครัว…ใช่ ครอบครัวทุกคน และอีกหนึ่งชีวิตที่เกิดจากเขาก็เช่นกัน

 

 

“เจนนา— เจน !”

 

 

เสียงทุ่มแปล่งร้องเรียกชื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนพร้อมยกมือกวักให้เด็กสาววิ่งมาหาตน เมื่อเห็นดังนั้นดวงตาใสแจ๋วก็ประกายความดีอกดีใจและโผเข้าหา—คุณพ่อ ของตัวเองทันที

 

 

“มารับแล้วค่ะ วันนี้เรามีเดทกัน”

 

 

เด็กสาวหัวเราะคิกคักเมื่อแก้มทั้งสองถูกฉกชิงไปเสียฟอกใหญ่ ท่อนแขนเล็กคล้องที่ลำคอของร่างสูงโปร่งเมื่อฝ่ายนั้นอุ้มเธอขึ้นมา

 

 

“เจนนาอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมคะ ?”

 

 

“เปียโน… เปียโน !”

 

 

มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะเด็กสาวโตขึ้นมากับเสียงเพลงและเสียงดนตรี…แจ็คจึงตอบรับคำขอนั้นโดยไม่มีข้อแม้

 

 

หลังจากหาอะไรใส่ท้องได้แล้วเขาจึงสับเท้ามาที่ร้านขายอุปกรณ์การดนตรีโดยเลือกที่จะอยู่ในโซนสำหรับเด็ก

 

 

เปียโนแบบมีขาตั้งและเก้าอี้ประกอบถูกสั่งซื้อและจะจัดส่งถึงบ้านภายในสามวันโดยมีเด็กสาวร้องเย้ว ๆ อยู่ตลอดการทำรายการซึ่งเรียกความเอ็นดูจากผู้ขายได้อย่างมาก และแทนความขอบคุณ แก้มขาวของแจ็คจึงถูกมอบจูบน้อย ๆ ให้

 

 

“อยากไปไหนต่อไหมคะ ?”

 

 

หลังออกจากร้านมาเดินกินลมชมวิวได้พักใหญ่ ๆ เขาจึงก้มลงไปถามความเห็นจากลูกสาวที่เริ่มจะตาปรือ เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำการพูด มันคงได้เวลาที่เราจะกลับที่พักสักที

 

 

“งั้นกลับบ้านเรากัน”

 

 

เขาจึงเปลี่ยนทิศทางการเดินไปยังที่พักของตน

 

 

“แจ็ค— แจ็ค อเวรี !”

 

 

ขาก้าวไปได้สักครู่ใหญ่ ๆ ก็มีเสียงเรียกไล่หลังมา แจ็คเลยต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปยังเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อของตน…เบื้องหลังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาด้วยอาการกระหืดกระหอบ แจ็คไม่แปลกใจนักหรอกหาจะมีแฟนคลับมาร้องเรียกอะไรแบบนั้น เพราะตลอดวันใช่ว่าจะไม่มีใครแอบถ่ายภาพของตนกับลูกสาว เพียงแต่พวกเขาคงไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของเขาเลยไม่ได้เข้ามาทักทาย

 

 

แต่ที่เขาตกใจเป็นเพราะอาการเหนื่อยหอบและเม็ดเหงื่อมากมายตามกรอบหน้าเยาว์ของอีกฝ่าย

 

 

อีกฝ่ายก้มหน้ายืนหอบอยู่พักใหญ่ ๆ หลังวิ่งมาหยุดต่อหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับชะงักไปเพราะสายตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่ผล็อยหลับไปแล้ว

 

 

เด็กหนุ่มนิรนามกลืนน้ำลายอึกใหญ่

 

 

“พี่…พี่— คือ…”

 

 

“ครับ ?”

 

 

อีกฝ่ายพยายามจะเรียบเรียงคำพูด แต่สุดท้ายก็ตบเข้าที่กลางหน้าผากของตัวเอง

 

 

“เรื่องนี้มันแปลกมาก แต่…เอางี้ พี่จำผมได้ไหม ?”

 

 

ร่างเล็กกว่ามีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก อยู่ ๆ มีใครไม่รู้มาวิ่งตามแล้วก็เริ่มด้วยการถามว่าจำตนได้ไหม…แน่นอนสิว่า—

 

 

“ไม่…เราเคยเจอกันเหรอ ?”

 

 

คนตรงหน้าดูอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้อง เอ้อ…ออกมาพร้อมยกมือลูบท้ายทอยของตัวเองไปด้วย แต่แจ็คก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ต่อ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงอีกฝ่ายคงไม่วิ่งหน้าตาตื่นตามเขามาหรอก

 

 

“พี่…จำเมื่อสี่หรือห้าปีก่อนได้ไหม ที่พี่ไปสังสรรค์หลังจบรุ่น”

 

 

คนถูกถามพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะนึกย้อนเหตุการณ์เกือบหนึ่งปีให้หลังหลังจบการศึกษาไป…และแล้วความทรงจำของเขาก็เริ่มประติประต่อเรื่องราวบางอย่างที่เขาลืมที่จะนึกถึงมันไป

 

 

“ว— วันนั้นพี่เมา พี่จำไม่ได้หรอกว่าพี่เผลอไปนอนกับใคร”

 

 

“…”

 

 

“แต่…ผมจำได้”

 

“ผมเป็นพ่อเด็ก”

 

“…ผมเป็นพ่อเด็กคนนี้”

 

 

แจ็คถอยกรูดทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดให้จบด้วยซ้ำ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าตาตื่นสับเท้าตามไปแต่ไม่กล้าที่จะคว้าแขนหรือกระชากตัวมาหาไม่ให้หนีไปไหนเพราะยังมีอีกร่างที่เจ้าตัวกำลังอุ้มอยู่ด้วย

 

 

“ผมพูดจริง ๆ นะ—ผม…ผมนอนกับพี่คืนนั้น และผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นพ่อเด็ก”

 

 

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเพราะไม่อยากจะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่…หากถามความเป็นไปได้ ก็อาจจะจริง ใช่ว่าการแพทย์จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้สักหน่อย

 

 

แต่…ไม่รู้สิ ผ่านมาเกือบห้าปีแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพ่อของเด็กจริง ทำไมถึงเพิ่งจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเิาตอนนี้ เพราะชื่อเสียงของเขารึเปล่า

 

 

“เชื่อผมเถอะ”

 

 

“ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ…แต่ทำไมถึงเพิ่งบอกเอาป่านนี้ ?”

 

 

สีหน้าของแจ็คดูไม่พอใจ

 

 

“พี่—ตอนนั้นผมอายุแค่สิบหก และ…และ ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่จะท้อง แถมหลังจากวันนั้นผมก็ต้องกลับเท็กซัส ที่นี่แคลิฟอร์เนียนะ ! พ่อแม่ไม่ปล่อยผมเดินทางแบบนี้เองหรอก…”

 

 

“…”

 

 

“อีกอย่าง…ผมไม่มีคอนแทคพี่สักหน่อย คิดว่าพี่คงจะจำผมไม่ได้ด้วย”

 

 

“…”

 

 

“แต่พอผมเห็นพี่ทางทีวีเมื่อปีที่แล้ว—และ และเห็นลูกของพี่…ตอนนั้นผมมั่นใจว่าต้องเป็นลูกผม ผมเลยเพิ่งมา”

 

 

แจ็คมีสีหน้าที่ปั้นยาก…ทั้งหมดที่อีกฝ่ายกล่าวมาไม่มีส่วนไหนให้แย้งเลยเพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด เราไม่รู้จักกันโดยส่วนตัว และแจ็คปิดเรื่องตัวเองและลูกมาหลายปีจนกระทั่งสองปีก่อนที่ผู้คนได้รับรู้

 

 

มันก็คงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า

 

 

เขาถอนหายใจออกมาเสียยกใหญ่

 

 

“โอเค…โอเค ขอบคุณที่มาบอกนะ ฉันเลี้ยงเธอได้ ไม่เป็นไ—”

 

 

“แต่งงานกับผม”

 

 

รอยยิ้มที่ตั้งใจจะส่งให้แทนคำขอบคุณหายไปในทันที

 

 

“ผมเป็นพ่อเด็ก แต่งงานกับผมนะ”

 

 

แจ็คอยู่ในอาการช็อคค้างจนไม่ทันได้เดินหนีคนที่มาคว้าหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสอง เปลือกตาขาวกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะมีสีหน้าอ่อนลงอย่างหน่ายใจ

 

 

“นี่—ไอ้หนู นายเป็นพ่อเด็กก็จริง แต่ฉันไม่ได้ขอให้นายมารับผิดชอบสักหน่อย”

 

 

แจ็ครู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ในแววตาคู่ตรงหน้ากำลังสื่อถึงเขาเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังทลาย ซึ่งเขาเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูก…ที่ผ่านมาเขาเลี้ยงลูกสาวมาด้วยตัวเอง และไม่เคยนึกถึงหรือร้องหาคนที่เป็นพ่อของเด็ก

 

 

…เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

 

 

“ไม่สิ…คือ ก็ใช่ แต่— โธ่เว้ย !”

 

 

มือแกร่งผละจากไหล่ทั้งสองข้างไปขยี้เส้นผมที่เซิงอยู่แล้วจนเริ่มไม่เป็นทรงด้วยความหัวเสีย

 

 

อีกฝ่ายเม้มปากแน่น

 

 

“ผม…ผมรู้ ผมรู้พี่จำผมไม่ได้ แต่ผมเคยชอบพี่นะ”

 

 

“…”

 

 

“ตอนวันจบ— ผมได้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ผมขยิบตาให้พี่ด้วย และพี่…พี่ก็หัวเราะให้ผม !”

 

 

โอ้โห…

 

 

แจ็คเผลออุทานออกมาในใจเพราะคำบอกเล่าจากปากอีกฝ่าย พูดตามตรงเวลาขนาดนี้ แถมมีเรื่องราวใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาทุกวัน…เขาจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้หรอก

 

 

แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อที่อีกฝ่ายเล่า

 

 

“แล้ว…ยังไงต่อ ?’

 

 

อีกฝ่ายชะงักไป

 

 

“ก็…เด็กคนนี้เป็นลูกของผม”

 

 

“…”

 

 

“ผมรู้— ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้ขอให้รับผิดชอบ” เขาชิงพูดขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้แย้งอะไร “แต่ผมอยากทำหน้าที่นั้นนะ…แบบ คนในครอบครัวอะ”

 

“ผมยังชอบพี่อยู่นะ”

 

“ถ้า…ถ้าตอนนี้พี่ไม่ตกลงแต่งงานกับผม—งั้นให้โอกาสผมจีบพี่ได้มั้ย”

 

 

เด็กหนุ่มทำสีหน้าเว้าวอนและจ้องคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างคาดหวัง ซึ่งเจ้าตัวน่ะเหรอ…เอาแต่ทำสีหน้าประหลาด ๆ

 

 

แล้วก็ขำพรืดออกมา

 

 

“…”

 

 

มือขาวยกขึ้นปิดปากก่อนเคลื่อนไปลูบแผ่นหลังของเด็กสาวที่หลับตาอยู่เพื่อเช็คว่าเธอไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่น

 

 

แจ็คเบนสายตากลับไปหาคนที่กำลังทำสีหน้าเหวอ ๆ ไม่รู้สิ บางอย่างในตัวของอีกฝ่ายทำให้เรารู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่แย่อะไร หนำซ้ำ…รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองมากเสียด้วย

 

 

“ก็ไม่ได้ปิดกั้นใครสักหน่อย…”

 

 

“…”

 

 

“พยายามเอาเองแล้วกัน— ชีวิตฉันไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิมนาน ๆ นะ”

 

 

เด็กหนุ่มยังคงอ้าปากค้างอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่ใบหน้าเยาว์จะฉีกยิ้มกว้างแล้วร้อง เยส! ออกมาเบา ๆ พร้อมกระโดดไปมาอยู่ไม่สุข

 

 

จนอีกฝ่ายเลิกออกอาการแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวถึงหันมายิ้มกว้างให้เขา

 

 

“ผม…ผมชื่อแซค เฮอร์รอน”

 

“ตอนนี้จำชื่อของผมไว้ก่อน แล้ววันนึง…พี่จะได้จำผมในฐานะสามี”

 

 

Out of this place of sorrow #SephCarl

Title: Out of this place of sorrow

Pairing: Photographer × Embalmer

Rate: PG-13

Note: เอื่อย ๆ ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปค่ะ…เราเพิ่งมาเล่นเกมนี้ได้ไม่นานแต่รู้จักและชอบตัวละครสองตัวนี้เป็นพิเศษ ข้อมูลที่รู้ยังมีแค่น้อยนิดแต่อดไม่ได้ที่จะเขียนมาก่อน ว่าง่าย ๆ คือเราแต่งสดเลย ต้องขอโทษในความผิดพลาดต่าง ๆ ด้วยค่ะ ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ

 

 


 

 

ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นย่างก้าวเข้ามายงคฤหาสน์แห่งนี้เพื่อร่วมแข่งขันเกมหฤโหด…เขารับรู้ได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่ดึงดูดให้มิอาจละความสนใจไปจากร่างกายอันเปราะบางทว่าสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

 

 

โจเซฟไม่เคยปราณีผู้รอดชีวิตคนไหนมาก่อน

 

 

แน่ล่ะ—เอซอป คาร์ลเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

 

แต่บุรุษจากแดนไกลเองก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่เกือบจะอ่อนข้อให้ความกับความมุ่งมั่นอันน้อยนิดที่ประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น แค่…เกือบ ยังไงเสียมันก็คือการแข่งขัน หากต้องการชนะ ก็ต้องชนะเพียงอย่างเดียว มันคือกฎ

 

 

ภูมิหลังของผู้รอดชีวิตแต่ละคนถูกเปิดเผยเพียงน้อยนิด นั่นรวมถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคนด้วย…เพียงแค่ร่วมมือกันหาทางหนีทีไล่ไม่ได้บ่งบอกว่ามาอย่างมิตรหรือศัตรู

 

 

แต่ทำไมหนอทำไม…เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างอ่านได้ง่ายดายแม้ดวงตาคู่นั้นจะฉายเพียงความว่างเปล่า น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นความรู้สึกอื่นที่เจือมาด้วย…อย่างเช่น ความเศร้าโศกและอาลัย

 

 

ปลงตกกับทุกอย่าง แม้กระทั่งความสิ้นหวังก็มิอาจเกาะกินจิตใจอันหม่นหมองนั้นได้

 

 

โจเซฟเห็นตัวเอง

 

 

ทั้งที่มันไม่ใช่ภาพถ่ายของตนด้วยซ้ำ

 

 

.
.

 

 

เสียงทุ้มฮัมเพลงแสนเสนาะหูออกมาระหว่างจรดปลายนิ้วกรีดกรายที่อาวุธคู่กาย ผู้รอดชีวิตคนที่สามถูกส่งกลับไปยังคฤหาสน์แล้วหลังจากคิดจะหลบหนี ทว่าไม่สำเร็จ

 

 

เหลืออีกหนึ่ง

 

 

เรียวปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อนึกถึงผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย…ใครบางคนที่เขาสนอดสนใจนักหนาจนแทบไม่เป็นตัวเอง

 

 

ในวินาทีการไล่ล่า เขาได้พบเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ออกจะบ่อย แต่เลือกที่เปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนอื่น

 

 

ออกจะสนุกดีที่ได้เห็นเด็กคนนั้นใช้ความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นแทนที่จะใช้มันเอาชีวิตตัวเองให้รอด

 

 

ขลาดกลัวในการอยู่ต่อหน้าผู้คนแท้ ๆ แต่กลับช่วยเหลือพวกเขาแม้อาจไม่ได้รับการช่วยเหลือตอบแทน…ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีอะไรเช่นนี้นะ ?

 

 

โจเซฟไม่ได้รีบเร่งในการตามหาเจ้าของฉายานักแต่งศพ เพราะเขาได้ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป…กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่นอนหมอบอยู่บนอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น—โลงศพ ?

 

 

เขาเร่งฝีเท้าไวขึ้นนิดหน่อย รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้าหาเด็กหนุ่มคนนั้นแม้เราจะไม่เคยมีบทสนทนาร่วมกันเลยสักครั้ง…ส่วนมาก จะเป็นบทสนทนาฝ่ายเดียว แหงล่ะ ต้องเป็นฝ่ายผู้ล่าอย่างเขาแน่อยู่แล้วที่เอาแต่พูดไปเรื่อยส่วนอีกคนน่ะไม่คิดจะฟังมันด้วยซ้ำ

 

 

เอาเถิด…บทบาทของเรามันต่างกัน ไม่แปลกหากจะวิ่งหนีให้พ้นเงื้อมือของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่า

 

 

สองเท้าหยุดยืนอยู่เบื้องหลังร่างที่นอนฟุบกับโลงศพที่ภายในนั้นว่างเปล่า ข้างกายมีอุปกรณ์แต่งเติมใบหน้าที่หักไม่เหลือชิ้นดีตกหล่นอยู่…ซึ่งโจเซฟไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน

 

 

ร่างอันบอบช้ำกำลังสั่น…อาจด้วยความกลัวหรือเจ็บปวดเพราะพิษบาดแผลก็มิอาจคาดเดา

 

 

“เธอทำพลาด…เธอต้องกลับไปที่คฤหาสน์ รู้ใช่ไหมครับ ?”

 

 

เอื้อนเอ่ยคำพูดที่รู้ดีว่าคงไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนา เอซอป คาร์ลยั่งคงสั่นระริกดูน่าสงสาร…บ่อยครั้งที่เขาเคยคิดว่าทำไมเด็กคนนี้จึงตอบรับคำชวนเพื่อมาพบเจอชะตาชีวิตอันน่าเวทนาเช่นนี้ มันมีอะไรที่เลวร้ายอยู่ภายนอกงั้นหรือ ?

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าคู่งามมองสำรวจความบอบช้ำที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของตน…สิ่งที่สะดุดของนักล่าหนุ่มมากที่สุดคงไม่พ้นมือที่กำพู่กันครึ่งท่อนไว้แน่นจนเกิดอาการสั่นเกร็ง—เพียงครู่เดียว มันก็ร่วงตกลงสู่พื้นดินด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป

 

 

เอซอป คาร์ลกำลังจะยอมแพ้ พูดให้ถูกคือไม่เหลือหนทางที่จะเอาชนะแม้แต่นิดเดียว เสียงหัวใจที่เต้นเบาลงเรื่อย ๆ เป็นข้อพิสูจน์ที่ชี้ชัดในเรื่องนั้น โจเซฟครวญครางในลำคอเบา ๆ กับสภาพอันน่าอดสูที่ปรากฏแก่สายตา

 

 

“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่, น่าสงสาร…”

 

 

โจเซฟมีสองทางให้เลือก ระหว่างรอให้อีกฝ่ายหลับไหลหรือจะส่งตัวกลับไปยังคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนนี้

 

 

ในวินาทีที่เสียงตึกตักในหูกำลังจะหายไป ร่างอันบอบบางก็ถูกคว้ามาไว้ในอ้อมอกแม้จะตะกายกอดโลงศพที่พึ่งของตัวเองในทีแรกก็ตาม ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด จึงต้องจำยอม

 

 

ร่างอันบอบช้ำถูกอุ้มไว้แนบกายในท่าทางที่ดูทะนุถนอมกว่าคนอื่น ที่หมายของชายหนุ่มนักล่าคงไม่พ้นเก้าอี้ตัวเก่าคร่ำครึที่ถูกวางทิ้งไว้โดยรอบ เอซอปกลิ้งนัยน์ตาสำรวจรอบกายผ่านเปลือกตาสีซีดที่ดูจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ หมอกบาง ๆ สร้างความหนาวเหน็บแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นได้ไม่น้อย

 

 

เจ็บ…เหนื่อย…หนาว

 

 

สามคำวนเวียนอยู่ในความคิด

 

 

เหมือนกับวังวนที่เขาต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่เก่า ๆ หาทางหนีเอาตัวรอดจากคำชักชวนที่ตนเองตอบรับแบบไม่จบไม่สิ้นหากไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

 

 

ร่างกายที่ถูกโจมตีด้วยความเหนื่อยอ่อนมาอย่างยาวนานไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป เปลือกตาขาวซีดแนบสนิท เอนหัวพิงที่บ่าของผู้ล่า…คงไม่เสียหาย อย่างไรแล้วอีกครู่เดียวเขาก็จะถูกพากลับไปยังคฤหาสน์สุดพิศวง

 

 

.

.

 

 

เอซอป คาร์ลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ…เขายังไม่ถูกส่งตัวกลับไป และยังนอนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ล่าจากแดนไกลนามว่าโจเซฟ

 

 

เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นมาอย่างแช่มช้า มองเจ้าของเรือนผมสีสว่างกำลังพลิกรูปถ่ายในมือไปมาด้วยความเงียบเชียบ…ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวรู้ว่าเขาตื่นแล้วก็ตาม แต่อีกฝ่ายดูจงใจที่จะทำเช่นนั้น

 

 

ร่างผอมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักผู้ล่า…บนเก้าอี้ตัวเก่าที่ควรใช้กักขังผู้รอดชีวิตคนอื่นก่อนนำตัวส่งไปยังคฤหาสน์อีกครั้ง เอซอปเริ่มขยับขาดิ้น—แค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะร่างกายของเขายังไม่ได้รับการรักษา มันยังคงบอบช้ำอยู่เหมือนเดิม

 

 

ท่อนแขนข้างที่ประคองแผ่นหลังบอบบางเอาไว้เริ่มเคลื่อนมากระชับที่รอบเอวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มต่อต้าน ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าร่างนั้นจะสงบลง…พูดให้ถูก หมดแรงแล้วต่างหาก

 

 

“เป็นเด็กที่ดื้อกว่าที่คิดนะครับ…”

 

 

เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดูเมื่อได้รับสายตาที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจ รูปถ่ายในมือถูกโปรยทิ้งอย่างไม่ใยดี และหันมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนทั้งสองข้าง…อย่างใกล้ชิด

 

 

“อยากรู้จัง…อะไรพาเธอมาที่นี่”

 

“…”

 

“ถึงเธอจะดูเศร้าตั้งแต่ก่อนมาถึงก็เถอะ, แต่ถ้าอยู่ข้างนอกนั่น… อาจมีสักวันที่เธอมีความสุขได้แท้ ๆ”

 

 

เขารำพึงออกมาอย่างน่าเสียดาย ซึ่งที่พูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง แม้ข้างนอกจะโหดร้าย แต่มันต้องมีสักวันที่เมฆฝนจะหายไป…ผิดกับที่นี่ ที่อาจไม่มีวันได้รอดกลับไป

 

 

นิ้วเรียวยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงขมับขาวทั้งที่อากาศออกจะเย็น…มันคืออาการวิตกรึเปล่านะ ? บางทีเขาอาจเผลอพูดอะไรกระทบจิตใจเข้าให้

 

 

“อยากออกไปหรือเปล่า ?”

 

 

มันเป็นเพียงเสี้ยววิเดียวเท่านั้นที่มองเห็นความโศกเศร้าสุดจะบรรยายที่ออกมาจากแววตาคู่นั้นแม้ไม่ได้สอดประสาน, ช่างน่าสงสาร…

 

 

มือขาวเริ่มบรรจงลูบไล้ตามท่อนแขน แผ่นหลัง และบริเวณอื่นที่สมควรจะแตะต้องผ่านชุดที่สวมใส่ เอซอปห้ามตัวเองไม่ให้เกิดอาการสั่นกลัวแม้ในใจจะกรีดร้องเพราะนึกรังเกียจสัมผัสที่ลากผ่านร่างกายนั้นก็ตามที

 

 

อึดอัด

 

 

ไม่ชอบ…ไม่ชอบ

 

 

อย่านะ

 

 

สามคำวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง แต่อากัปกิริยาที่แสดงออกมามีแค่การหายใจที่รุนแรงและหนักขึ้นจนแผ่นอกกระเพื่อม นิ้วทั้งสิบกุมเข้าหากันและพยายามขัดขืน

 

 

“ไม่ชอบสินะครับ…”

 

 

ท่อนขาที่เริ่มเตะกันไปมาไม่อยู่นิ่งคือคำตอบ

 

 

“ชู่ว, ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตฝ่ายเดียวที่เยียวยาอาการบาดเจ็บได้นะครับ”

 

 

น้ำเสียงที่อ่อนลงนั้นได้ผล ร่างของเด็กหนุ่มชะงักและนิ่งไปในทันทีที่เสียงทุ้มน่าฟังกล่าวจบ และเริ่มมีความลังเลสับสนปรากฏอยู่ในแววตาคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา

 

 

ต้องการอะไร

 

 

“ผมเวทนาเธอเหลือเกิน…”

 

 

โจเซฟพูดถูก ไม่ใช่เพียงผู้รอดชีวิตที่เยียวยาอาการบาดเจ็บเหล่านั้นได้…เขาทำมัน หากแต่ ไม่ถึงขั้นปล่อยให้เอซอปได้เดินเหินอย่างคนปกติ

 

 

เรี่ยวแรงที่หดหายได้คืนกลับพอจะลากร่างของตัวเองไปไหนมาไหนได้โดยไม่ล้มพับไปเสียก่อน แต่นักล่าก็ยังไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดออกไปจากอ้อมแขนของตน

 

 

ถึงทำ โอกาสที่เอซอปคิดจะลุกออกไปในทันทีก็มีน้อยมาก

 

 

เพราะเขาเหนื่อยเหลือเกิน

 

 

ลมหายใจกลับมาผ่อนในจังหวะที่เป็นปกติเมื่อสองมือที่ไม่อยู่นิ่งกลับมาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม นัยน์ตากลมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในทางฉงนใจกลอกขึ้นมองใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอิ่มเอมใจแต่น่าหวาดผวาลึก ๆ, ชายคนนี้ต้องการอะไร ?

 

 

เอซอปนิ่งเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะขบขัน

 

 

“ได้ตั้งใจฟังผมพูดบ้างไหม ?”

 

 

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แม้จะได้ยินทุกถ้อยคำตลอดเวลาที่ผ่านมาเพียงแต่ไม่นึกเก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น

 

 

“ผมจะบอกอะไรดี ๆ ให้นะครับ ฉะนั้นตั้งใจฟัง…”

 

“มีทางลับ…อยู่ตรงนั้น”

 

 

ว่าจบก็ผละมือหนึ่งข้างออกไป ชี้ไปยังจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักและเป็นระยะที่พอจะเดินไปถึงได้ด้วยสภาพอันบอบช้ำเช่นนี้

 

 

ทางลับ…

 

 

ทางที่จะออกไปสู่อิสรภาพ—สู่โลกข้างนอกงั้นหรือ ?

 

 

โจเซฟหันกลับมาหาเจ้าของแววตาอันสับสนอีกครั้ง ฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจกับปฏิกิริยาที่ไม่ผิดจากที่คาดเดาไว้เลยสักนิด

 

 

“เพียงแค่เธอเดินลงไป…เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตเดิมที่เธอเหลืออยู่จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต”

 

 

“ไม่ต้องเหนื่อยล้ากับการหลบหนีแบบนี้อีกต่อไป”

 

 

เพียงได้ยินคำว่าชีวิตเก่า ร่างกายพลันสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

 

“ไปสิครับ ไป…เธอจะเป็นอิสระ”

 

 

เนิ่นนานจนน่าใจหายที่เอซอปยังนิ่งเงียบไม่ขยับร่างกายหรือตอบรับเป็นคำพูดกลับมานอกจากอาการสั่นเทาน้อย ๆ

 

 

และแล้วร่างกายแสนเปราะบางที่ใกล้จะแตกสลายตามความรู้สึกของเจ้าตัวก็เบียดเข้าหา ฝังใบหน้าลงที่บ่ากว้างของช่างภาพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเพื่อปิดกั้นการรับรู้ที่เหลือ

 

 

เรียวปากซีดระบายยิ้ม

 

 

“ตัดสินใจจะไม่กลับออกไปงั้นซี…โง่อะไรขนาดนี้”

 

 

เขาหัวเราะผะแผ่ว ก่อนจะช้อนร่างที่อยู่บนตักขึ้นมาไว้แนบตัวเพื่อส่งกลับไปยังคฤหาสน์ด้วยตัวเอง

 

 

“เมื่อเธอปฏิเสธอิสระที่ผมมอบให้ในครั้งนี้, เอซอป คาร์ล…”

 

“ผมจะไม่ปล่อยเธอไปเป็นครั้งที่สอง

 

“…และไม่มีวัน”

 

 

Nobody Gotta Know #Jachary

Pairing : Zach H. × Jack A.
Rate : PG
Note : น่ารัก ใส ๆ ฟลัฟฟี่ ๆ กับเดทตอนกลางคืน

 


 

แจ็คไม่คิดว่าตัวเองจะมาโผล่อยู่หน้าสวนสนุกในเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบห้า

 

ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ข้างกายไม่คว้ามือเขาแล้วพาวิ่งออกมาจากคนอื่น ๆ

 

หลังสิ้นเสียงที่บอกให้ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้เวลาที่เหลือ แจ็คตั้งใจว่าจะไปดื่มด่ำบรรยากาศตอนค่ำกับแดเนียลพร้อมกาแฟสักแก้ว แต่…มีมือหนึ่งคว้าเขาไว้ และยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรเขาก็สับเท้าวิ่งหน้าตาตื่นตามแรงฉุดออกมา

 

แจ็คยังคงงุนงง ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยส่วนตัวของเขาที่ตั้งรับอะไรที่เกิดขึ้นแบบกะทันหันไม่ได้ เลยได้แต่ยืนปั้นหน้านิ่งรอคนที่แจกยิ้มให้คนขายตั๋วพร้อมชูสองนิ้วไปพลาง

 

“หลับไปแล้วเหรอ ?”

 

ตอนนี้เขา—พวกเรา เข้ามาอยู่ภายในสวนสนุกแล้ว โดยภาพเบื้องหน้าเป็นเด็กที่อ่อนกว่ากำลังโบกไม้โบกมือเย้ว ๆ ให้

 

แจ็คขมวดคิ้ว

 

“สวนสนุก…สองทุ่ม ? คิดได้ไงเนี่ย”

 

“ฉลาด”

 

อีกฝ่ายหัวเราะร่วนและเริ่มกึ่งลากกึ่งจูงคนที่ตัวเล็กกว่าให้ไปเล่นเครื่องเล่นด้วยกัน

 

2 ใน 6 คือจำนวนเครื่องเล่นที่แจ็คยอมขึ้นไปเล่นด้วย…นั่นคือม้าหมุนและชิงช้าสวรรค์ ส่วนที่เหลือเขาขอบายเพราะง่วงเกินกว่าจะไปเล่นอะไรผาดโผนเหมือนคนที่พลังชีวิตเต็มเปี่ยมตั้งแต่เช้าจรดเย็น

 

“อย่าพึ่งหลับ”

 

“ยัง—โว้ย ! เลิกเอาหน้ามาใกล้ได้แล้ว !”

 

แซคระเบิดหัวเราะ ทุกครั้งที่เห็นว่าแจ็คเงียบและเอาแต่มองออกไปแบบไม่มีจุดหมาย เด็กหนุ่มจะเข้าไปเป่าหน้าอีกคนเพื่อเรียกร้องความสนใจกลับมาตัวเอง

 

แลกกับการโดนกำปั้นยีหัวมันก็คุ้มอยู่หรอก

 

แซคร้องลั่นระคนส่งเสียงหัวเราะ เขาเอื้อมแขนไปคว้าเอวคนตัวเล็กกว่าแล้วจับเหวี่ยงจนสุดท้ายร่างนั้นก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ด้วยความเป็นเด็กช่างแกล้ง ทำอะไรไวแบบไม่ทันคิด จมูกรั้นเลยแนบอยู่ที่แก้มขาวเสียฟอดใหญ่

 

แจ็คตกใจ แซคก็ตกใจ…เด็กหนุ่มปล่อยอีกคนออกจากวงแขนแล้วรีบวิ่งเตลิดออกไป แจ็คคิดว่านั่นเป็นการแกล้งอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้าตามอีกคนไปเพื่อเอาคืน

 

มือขาวคว้าฮู้ดของอีกฝ่าย ดึงรั้งกันอยู่หลายทีแต่แซคก็ไว หนีหลุดออกไปได้ทุกครั้งจนเด็กหนุ่มทั้งสองวิ่งออกมาไกลจากสวนสนุก

 

สุดท้ายแจ็คก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดคลออยู่ในงาน—แซคหัวเราะ ยอมวิ่งกลับมาหันคนที่ยืนหอบตัวโยนอยู่ไม่ไกล

 

“ยอมแล้วเหรอ— ยอมแล้วเหรอ”

 

แซคถาม และยังส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะ คนอายุมากกว่าพยายามหัวเราะออกมาแข่งกับเสียงหอบ กวักมือเรียกอีกคนให้เข้ามาใกล้เพราะจะขอยืมไหล่ไว้พยุงตัว

 

แต่เมื่ออีกคนเข้ามาใกล้ แจ็คก็กระโจนและทิ้งน้ำหนักใส่จนล้มลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้น

 

“โอ๊ย ๆ—”

 

แซคร้องโอดโอยทั้งที่ตัวเองยังขำไม่หยุด โอเค—มันอาจจะจุกนิดหน่อย แต่ไม่มีส่วนไหนเจ็บปวดจนต้องกังวล

 

แต่เขาชักจะเริ่มหนักแล้วล่ะถ้าแจ็คยังนอนทับอยู่แบบนี้

 

“เฮ้—แจ็ค…”

 

เจ้าของชื่อที่นอนเอาหน้าแนบอกเขาอยู่ยอมผงกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก…อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะส่งยิ้มที่ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตัวเองคิดจะพูดอะไร

 

แซคนอนราบลงไปกับพื้น สายตาจับจ้องขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน เอ่ยปากว่า ‘ดูนู่น’ พร้อมชี้นิ้วขึ้นไปด้วย

 

แจ็คเงยหน้ามอง ท้องฟ้าสีเข้มที่มีดวงดาวประดับเป็นกระจุกบ้าง กระจายตัวบ้าง ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างเอาเสียเลย…แต่ถ้าตัดเรื่องความสวยงามออกไป การได้เห็นดาวชัด ๆ ในเมืองแบบนี้ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้วล่ะ

 

แจ็คก้มมองเจ้าของร่างที่ตัวเองกำลังนอนทับอยู่เมื่อรู้สึกว่ามีมือเลื้อยอยู่บนช่วงเอวของเขา—และ ใช่…แซคกำลังส่งยิ้มซุกซนมาให้

 

“ถ้าจะชวนนอนดูดาวล่ะก็ ต้องไม่ใช่กลางถนนแบบนี้”

 

ว่าจบก็ลุกออกไปโดยไม่ลืมดึงแขนคนที่นอนอยู่ให้ให้ลุกตามมาด้วย

 

เท้าสองคู่ย่ำลงบนหญ้าที่ถูกปูไว้เป็นทางลาดเอียง จนกระทั่งหาจุดที่เหมาะจะนอนชมดาวชมเดือน—หรือแม้แต่แม่น้ำ พวกเขาก็พากันเอนตัวลงไป

 

แซคผิวปาก—เสียงเบา ๆ ข้างหูที่สามารถกลบเสียงดนตรีเด็กเล่นที่อยู่ห่างออกไปได้

 

ตอนนี้แจ็ครับรู้แค่เสียงผิวปาก ภาพกลุ่มดาวรูปร่างประหลาด และ…เท้าของแซคที่กระดิกไปมาแบบอยู่ไม่สุข

 

“นึกถึงเพลงของเราเลย”

 

อยู่ ๆ แซคก็เลิกผิวปากและโพล่งออกมา เจ้าของเรือนผมหยักศกหันไปมองคนที่ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเปล่งเสียงร้องเป็นทำนอง…

 

“Take the time with me tonight~”

 

มันคือท่อนที่อีกฝ่ายร้องในเพลง Nobody Gotta Know…แจ็คไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือสาเหตุให้เขาต้องหลุดขำออกมาแบบนี้ แซคผุดยิ้ม แต่ยังพยายามคุมเสียงและร้องเพลงต่อไป

 

“I’ve been missin’ I’ve been crushin’ on you all night”

 

สุดท้ายแจ็คก็ห้ามตัวเองไม่ให้เปล่งเสียงร้องออกไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนเสียงของเขาเลยอาจจะดูแปล่งไปบ้าง แต่นั่นไม่ทำให้ทั้งคู่เงียบเสียงลงไป

 

“Nobody Gotta Know—”

 

จนมาถึงท่อนฮุคอีกครั้ง เสียงของแซคตัดไปอย่างกะทันหันในขณะที่เขายังฮัมเป็นทำนอง เด็กที่ตัวโตกว่ายันลำตัวท่อนบนขึ้นแล้วโน้มหน้าลงไปหาคนที่ยังนอนราบอยู่เหมือนเดิม

 

แจ็คมองนัยน์ตาที่เป็นประกายวาววับเบื้องบน…ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะแสง หรือประกายในตัวของมันเองกันแน่ ?

 

แซคยังไม่หยุดใบหน้าที่เริ่มเคลื่อนมาใกล้ จนคนโตกว่าชักไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่จึงใช้มือดันใบหน้าน่ารักออกไปก่อนที่ระยะห่างมันจะน้อยมากไปกว่านี้

 

แซคส่งเสียงที่เป็นเชิงเสียดายออกมา

 

“สรุป…ทำไมต้องสวนสนุกตอนสองทุ่ม ?”

 

แจ็คถามในสิ่งที่ตนสงสัยมาตั้งแต่แรกเริ่มแต่ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ

 

“เพราะคนอื่นไม่มีทางตามมา”

 

เขาเลิกคิ้ว

 

“ก็เมื่อกี้ไง— มาใช้เวลาคืนนี้กับผมเถอะนะ”

 

อีกฝ่ายส่งยิ้มแพรวพราว…นั่นเป็นเนื้อเพลงที่เราเพิ่งจะร้องไปเมื่อครู่ แจ็คคิดว่ามันคงเป็นข้ออ้างเพราะอีกฝ่ายคงหาคำตอบที่ดีกว่านี้ไม่ได้

 

อีกฝ่ายยังเด็ก…อย่าไปถือสาความคิดตื้น ๆ แบบนั้นเลย

 

แจ็คบอกตัวเอง

 

“…ไม่ชอบเหรอ ?”

 

แซคถามเสียงอ่อนเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องเขาโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร หรือแม้แต่คำพูดสักคำก็ยังไม่มี

 

แจ็คส่ายหน้า

 

“เปล่า แค่ตกใจ…อยู่ ๆ นายก็ลากฉันออกมาจากคนอื่น”

 

“งั้นแปลว่าโอเค ?”

 

คราวนี้แจ็คพยักหน้า

 

“งั้นคราวหน้าจะพาไปอีก”

 

“ไป…ไปไหน ? สวนสนุกอีกเหรอ ?”

 

“ไม่ใช่ ไปที่ไหนก็ได้ที่มีแค่พี่กับผม”

 

“อาห้ะ…”

 

“ตกลงไหม ?”

 

แจ็คมองใบหน้าที่ดูคาดหวังยามจับจ้องมาทางเขา อีกฝ่ายนิ่งเงียบรอคำตอบ…ซึ่งเขามองว่ามันดูน่ารักสมกับเป็นน้องเล็กของวงดีเหมือนกัน

 

“ตกลง”

 

“สัญญานะ ?”

 

แจ็คหัวเราะร่วน—มองมุมปากที่กระตุกยิ้มออกมานิดหน่อยแต่พยายามทำหน้าเคร่งขรึมเพราะต้องการคำตอบที่แน่นอนจากเขา

 

แจ็คเอื้อมมือไปบีบแก้มขาวที่เต็มไปด้วยเลือดฝาดเบา ๆ

 

“สัญญา”

 

แซคยิ้มออกทันทีที่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เด็กหนุ่มคว้ามือขาวที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มมากุมไว้ ก่อนจะจุมพิตที่หลังมือนั้นเบา ๆ

 

แจ็คกะพริบตาถี่

 

อย่าไปถือสาอะไรกับการกระทำซื่อ ๆ ของเด็กเลย

 

…แจ็คเตือนตัวเองแบบนั้น