Out of this place of sorrow #SephCarl

Title: Out of this place of sorrow

Pairing: Photographer × Embalmer

Rate: PG-13

Note: เอื่อย ๆ ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปค่ะ…เราเพิ่งมาเล่นเกมนี้ได้ไม่นานแต่รู้จักและชอบตัวละครสองตัวนี้เป็นพิเศษ ข้อมูลที่รู้ยังมีแค่น้อยนิดแต่อดไม่ได้ที่จะเขียนมาก่อน ว่าง่าย ๆ คือเราแต่งสดเลย ต้องขอโทษในความผิดพลาดต่าง ๆ ด้วยค่ะ ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ

 

 


 

 

ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นย่างก้าวเข้ามายงคฤหาสน์แห่งนี้เพื่อร่วมแข่งขันเกมหฤโหด…เขารับรู้ได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่ดึงดูดให้มิอาจละความสนใจไปจากร่างกายอันเปราะบางทว่าสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

 

 

โจเซฟไม่เคยปราณีผู้รอดชีวิตคนไหนมาก่อน

 

 

แน่ล่ะ—เอซอป คาร์ลเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

 

แต่บุรุษจากแดนไกลเองก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่เกือบจะอ่อนข้อให้ความกับความมุ่งมั่นอันน้อยนิดที่ประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น แค่…เกือบ ยังไงเสียมันก็คือการแข่งขัน หากต้องการชนะ ก็ต้องชนะเพียงอย่างเดียว มันคือกฎ

 

 

ภูมิหลังของผู้รอดชีวิตแต่ละคนถูกเปิดเผยเพียงน้อยนิด นั่นรวมถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคนด้วย…เพียงแค่ร่วมมือกันหาทางหนีทีไล่ไม่ได้บ่งบอกว่ามาอย่างมิตรหรือศัตรู

 

 

แต่ทำไมหนอทำไม…เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างอ่านได้ง่ายดายแม้ดวงตาคู่นั้นจะฉายเพียงความว่างเปล่า น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นความรู้สึกอื่นที่เจือมาด้วย…อย่างเช่น ความเศร้าโศกและอาลัย

 

 

ปลงตกกับทุกอย่าง แม้กระทั่งความสิ้นหวังก็มิอาจเกาะกินจิตใจอันหม่นหมองนั้นได้

 

 

โจเซฟเห็นตัวเอง

 

 

ทั้งที่มันไม่ใช่ภาพถ่ายของตนด้วยซ้ำ

 

 

.
.

 

 

เสียงทุ้มฮัมเพลงแสนเสนาะหูออกมาระหว่างจรดปลายนิ้วกรีดกรายที่อาวุธคู่กาย ผู้รอดชีวิตคนที่สามถูกส่งกลับไปยังคฤหาสน์แล้วหลังจากคิดจะหลบหนี ทว่าไม่สำเร็จ

 

 

เหลืออีกหนึ่ง

 

 

เรียวปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อนึกถึงผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย…ใครบางคนที่เขาสนอดสนใจนักหนาจนแทบไม่เป็นตัวเอง

 

 

ในวินาทีการไล่ล่า เขาได้พบเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ออกจะบ่อย แต่เลือกที่เปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนอื่น

 

 

ออกจะสนุกดีที่ได้เห็นเด็กคนนั้นใช้ความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นแทนที่จะใช้มันเอาชีวิตตัวเองให้รอด

 

 

ขลาดกลัวในการอยู่ต่อหน้าผู้คนแท้ ๆ แต่กลับช่วยเหลือพวกเขาแม้อาจไม่ได้รับการช่วยเหลือตอบแทน…ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีอะไรเช่นนี้นะ ?

 

 

โจเซฟไม่ได้รีบเร่งในการตามหาเจ้าของฉายานักแต่งศพ เพราะเขาได้ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป…กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่นอนหมอบอยู่บนอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น—โลงศพ ?

 

 

เขาเร่งฝีเท้าไวขึ้นนิดหน่อย รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้าหาเด็กหนุ่มคนนั้นแม้เราจะไม่เคยมีบทสนทนาร่วมกันเลยสักครั้ง…ส่วนมาก จะเป็นบทสนทนาฝ่ายเดียว แหงล่ะ ต้องเป็นฝ่ายผู้ล่าอย่างเขาแน่อยู่แล้วที่เอาแต่พูดไปเรื่อยส่วนอีกคนน่ะไม่คิดจะฟังมันด้วยซ้ำ

 

 

เอาเถิด…บทบาทของเรามันต่างกัน ไม่แปลกหากจะวิ่งหนีให้พ้นเงื้อมือของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่า

 

 

สองเท้าหยุดยืนอยู่เบื้องหลังร่างที่นอนฟุบกับโลงศพที่ภายในนั้นว่างเปล่า ข้างกายมีอุปกรณ์แต่งเติมใบหน้าที่หักไม่เหลือชิ้นดีตกหล่นอยู่…ซึ่งโจเซฟไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน

 

 

ร่างอันบอบช้ำกำลังสั่น…อาจด้วยความกลัวหรือเจ็บปวดเพราะพิษบาดแผลก็มิอาจคาดเดา

 

 

“เธอทำพลาด…เธอต้องกลับไปที่คฤหาสน์ รู้ใช่ไหมครับ ?”

 

 

เอื้อนเอ่ยคำพูดที่รู้ดีว่าคงไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนา เอซอป คาร์ลยั่งคงสั่นระริกดูน่าสงสาร…บ่อยครั้งที่เขาเคยคิดว่าทำไมเด็กคนนี้จึงตอบรับคำชวนเพื่อมาพบเจอชะตาชีวิตอันน่าเวทนาเช่นนี้ มันมีอะไรที่เลวร้ายอยู่ภายนอกงั้นหรือ ?

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าคู่งามมองสำรวจความบอบช้ำที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของตน…สิ่งที่สะดุดของนักล่าหนุ่มมากที่สุดคงไม่พ้นมือที่กำพู่กันครึ่งท่อนไว้แน่นจนเกิดอาการสั่นเกร็ง—เพียงครู่เดียว มันก็ร่วงตกลงสู่พื้นดินด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป

 

 

เอซอป คาร์ลกำลังจะยอมแพ้ พูดให้ถูกคือไม่เหลือหนทางที่จะเอาชนะแม้แต่นิดเดียว เสียงหัวใจที่เต้นเบาลงเรื่อย ๆ เป็นข้อพิสูจน์ที่ชี้ชัดในเรื่องนั้น โจเซฟครวญครางในลำคอเบา ๆ กับสภาพอันน่าอดสูที่ปรากฏแก่สายตา

 

 

“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่, น่าสงสาร…”

 

 

โจเซฟมีสองทางให้เลือก ระหว่างรอให้อีกฝ่ายหลับไหลหรือจะส่งตัวกลับไปยังคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนนี้

 

 

ในวินาทีที่เสียงตึกตักในหูกำลังจะหายไป ร่างอันบอบบางก็ถูกคว้ามาไว้ในอ้อมอกแม้จะตะกายกอดโลงศพที่พึ่งของตัวเองในทีแรกก็ตาม ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด จึงต้องจำยอม

 

 

ร่างอันบอบช้ำถูกอุ้มไว้แนบกายในท่าทางที่ดูทะนุถนอมกว่าคนอื่น ที่หมายของชายหนุ่มนักล่าคงไม่พ้นเก้าอี้ตัวเก่าคร่ำครึที่ถูกวางทิ้งไว้โดยรอบ เอซอปกลิ้งนัยน์ตาสำรวจรอบกายผ่านเปลือกตาสีซีดที่ดูจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ หมอกบาง ๆ สร้างความหนาวเหน็บแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นได้ไม่น้อย

 

 

เจ็บ…เหนื่อย…หนาว

 

 

สามคำวนเวียนอยู่ในความคิด

 

 

เหมือนกับวังวนที่เขาต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่เก่า ๆ หาทางหนีเอาตัวรอดจากคำชักชวนที่ตนเองตอบรับแบบไม่จบไม่สิ้นหากไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

 

 

ร่างกายที่ถูกโจมตีด้วยความเหนื่อยอ่อนมาอย่างยาวนานไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป เปลือกตาขาวซีดแนบสนิท เอนหัวพิงที่บ่าของผู้ล่า…คงไม่เสียหาย อย่างไรแล้วอีกครู่เดียวเขาก็จะถูกพากลับไปยังคฤหาสน์สุดพิศวง

 

 

.

.

 

 

เอซอป คาร์ลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ…เขายังไม่ถูกส่งตัวกลับไป และยังนอนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ล่าจากแดนไกลนามว่าโจเซฟ

 

 

เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นมาอย่างแช่มช้า มองเจ้าของเรือนผมสีสว่างกำลังพลิกรูปถ่ายในมือไปมาด้วยความเงียบเชียบ…ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวรู้ว่าเขาตื่นแล้วก็ตาม แต่อีกฝ่ายดูจงใจที่จะทำเช่นนั้น

 

 

ร่างผอมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักผู้ล่า…บนเก้าอี้ตัวเก่าที่ควรใช้กักขังผู้รอดชีวิตคนอื่นก่อนนำตัวส่งไปยังคฤหาสน์อีกครั้ง เอซอปเริ่มขยับขาดิ้น—แค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะร่างกายของเขายังไม่ได้รับการรักษา มันยังคงบอบช้ำอยู่เหมือนเดิม

 

 

ท่อนแขนข้างที่ประคองแผ่นหลังบอบบางเอาไว้เริ่มเคลื่อนมากระชับที่รอบเอวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มต่อต้าน ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าร่างนั้นจะสงบลง…พูดให้ถูก หมดแรงแล้วต่างหาก

 

 

“เป็นเด็กที่ดื้อกว่าที่คิดนะครับ…”

 

 

เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดูเมื่อได้รับสายตาที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจ รูปถ่ายในมือถูกโปรยทิ้งอย่างไม่ใยดี และหันมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนทั้งสองข้าง…อย่างใกล้ชิด

 

 

“อยากรู้จัง…อะไรพาเธอมาที่นี่”

 

“…”

 

“ถึงเธอจะดูเศร้าตั้งแต่ก่อนมาถึงก็เถอะ, แต่ถ้าอยู่ข้างนอกนั่น… อาจมีสักวันที่เธอมีความสุขได้แท้ ๆ”

 

 

เขารำพึงออกมาอย่างน่าเสียดาย ซึ่งที่พูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง แม้ข้างนอกจะโหดร้าย แต่มันต้องมีสักวันที่เมฆฝนจะหายไป…ผิดกับที่นี่ ที่อาจไม่มีวันได้รอดกลับไป

 

 

นิ้วเรียวยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงขมับขาวทั้งที่อากาศออกจะเย็น…มันคืออาการวิตกรึเปล่านะ ? บางทีเขาอาจเผลอพูดอะไรกระทบจิตใจเข้าให้

 

 

“อยากออกไปหรือเปล่า ?”

 

 

มันเป็นเพียงเสี้ยววิเดียวเท่านั้นที่มองเห็นความโศกเศร้าสุดจะบรรยายที่ออกมาจากแววตาคู่นั้นแม้ไม่ได้สอดประสาน, ช่างน่าสงสาร…

 

 

มือขาวเริ่มบรรจงลูบไล้ตามท่อนแขน แผ่นหลัง และบริเวณอื่นที่สมควรจะแตะต้องผ่านชุดที่สวมใส่ เอซอปห้ามตัวเองไม่ให้เกิดอาการสั่นกลัวแม้ในใจจะกรีดร้องเพราะนึกรังเกียจสัมผัสที่ลากผ่านร่างกายนั้นก็ตามที

 

 

อึดอัด

 

 

ไม่ชอบ…ไม่ชอบ

 

 

อย่านะ

 

 

สามคำวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง แต่อากัปกิริยาที่แสดงออกมามีแค่การหายใจที่รุนแรงและหนักขึ้นจนแผ่นอกกระเพื่อม นิ้วทั้งสิบกุมเข้าหากันและพยายามขัดขืน

 

 

“ไม่ชอบสินะครับ…”

 

 

ท่อนขาที่เริ่มเตะกันไปมาไม่อยู่นิ่งคือคำตอบ

 

 

“ชู่ว, ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตฝ่ายเดียวที่เยียวยาอาการบาดเจ็บได้นะครับ”

 

 

น้ำเสียงที่อ่อนลงนั้นได้ผล ร่างของเด็กหนุ่มชะงักและนิ่งไปในทันทีที่เสียงทุ้มน่าฟังกล่าวจบ และเริ่มมีความลังเลสับสนปรากฏอยู่ในแววตาคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา

 

 

ต้องการอะไร

 

 

“ผมเวทนาเธอเหลือเกิน…”

 

 

โจเซฟพูดถูก ไม่ใช่เพียงผู้รอดชีวิตที่เยียวยาอาการบาดเจ็บเหล่านั้นได้…เขาทำมัน หากแต่ ไม่ถึงขั้นปล่อยให้เอซอปได้เดินเหินอย่างคนปกติ

 

 

เรี่ยวแรงที่หดหายได้คืนกลับพอจะลากร่างของตัวเองไปไหนมาไหนได้โดยไม่ล้มพับไปเสียก่อน แต่นักล่าก็ยังไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดออกไปจากอ้อมแขนของตน

 

 

ถึงทำ โอกาสที่เอซอปคิดจะลุกออกไปในทันทีก็มีน้อยมาก

 

 

เพราะเขาเหนื่อยเหลือเกิน

 

 

ลมหายใจกลับมาผ่อนในจังหวะที่เป็นปกติเมื่อสองมือที่ไม่อยู่นิ่งกลับมาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม นัยน์ตากลมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในทางฉงนใจกลอกขึ้นมองใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอิ่มเอมใจแต่น่าหวาดผวาลึก ๆ, ชายคนนี้ต้องการอะไร ?

 

 

เอซอปนิ่งเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะขบขัน

 

 

“ได้ตั้งใจฟังผมพูดบ้างไหม ?”

 

 

เด็กหนุ่มไม่ตอบ แม้จะได้ยินทุกถ้อยคำตลอดเวลาที่ผ่านมาเพียงแต่ไม่นึกเก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น

 

 

“ผมจะบอกอะไรดี ๆ ให้นะครับ ฉะนั้นตั้งใจฟัง…”

 

“มีทางลับ…อยู่ตรงนั้น”

 

 

ว่าจบก็ผละมือหนึ่งข้างออกไป ชี้ไปยังจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักและเป็นระยะที่พอจะเดินไปถึงได้ด้วยสภาพอันบอบช้ำเช่นนี้

 

 

ทางลับ…

 

 

ทางที่จะออกไปสู่อิสรภาพ—สู่โลกข้างนอกงั้นหรือ ?

 

 

โจเซฟหันกลับมาหาเจ้าของแววตาอันสับสนอีกครั้ง ฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจกับปฏิกิริยาที่ไม่ผิดจากที่คาดเดาไว้เลยสักนิด

 

 

“เพียงแค่เธอเดินลงไป…เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตเดิมที่เธอเหลืออยู่จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต”

 

 

“ไม่ต้องเหนื่อยล้ากับการหลบหนีแบบนี้อีกต่อไป”

 

 

เพียงได้ยินคำว่าชีวิตเก่า ร่างกายพลันสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

 

“ไปสิครับ ไป…เธอจะเป็นอิสระ”

 

 

เนิ่นนานจนน่าใจหายที่เอซอปยังนิ่งเงียบไม่ขยับร่างกายหรือตอบรับเป็นคำพูดกลับมานอกจากอาการสั่นเทาน้อย ๆ

 

 

และแล้วร่างกายแสนเปราะบางที่ใกล้จะแตกสลายตามความรู้สึกของเจ้าตัวก็เบียดเข้าหา ฝังใบหน้าลงที่บ่ากว้างของช่างภาพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเพื่อปิดกั้นการรับรู้ที่เหลือ

 

 

เรียวปากซีดระบายยิ้ม

 

 

“ตัดสินใจจะไม่กลับออกไปงั้นซี…โง่อะไรขนาดนี้”

 

 

เขาหัวเราะผะแผ่ว ก่อนจะช้อนร่างที่อยู่บนตักขึ้นมาไว้แนบตัวเพื่อส่งกลับไปยังคฤหาสน์ด้วยตัวเอง

 

 

“เมื่อเธอปฏิเสธอิสระที่ผมมอบให้ในครั้งนี้, เอซอป คาร์ล…”

 

“ผมจะไม่ปล่อยเธอไปเป็นครั้งที่สอง

 

“…และไม่มีวัน”

 

 

ใส่ความเห็น