ไม่มีหมวดหมู่
Find the way #Merceseer
Title: Find the way
Pairing: Mercenary × Seer
Rate: PG
Note: ฟิคที่เกิดจากความชอบในสกิน Clarity และ Night Owl เลยพยายามเชื่อมเนื้อเรื่องทั้งสองสกิน…ยังไงก็ขอให้ enjoy reading นะคะ !
#Special thanks for EQOPS ♡
ขอบคุณสำหรับภาพประกอบสวย ๆ นะคะ
ป้องกันแล้ว:Under his control #ToroWukong
Who’s the daddy? #Jachary
Title: Who’s the daddy?
Pairing: Zach Herron × Jack Avery
Rate: PG
Note: Mpreg นะคะ แต่เบา ๆ ไม่หนักสมอง
มันไม่ง่ายเลยที่จะได้เข้ามาทำในสายงานเกียวกับดนตรี ผู้คนอาจจะได้เห็นคนที่ประสบความสำเร็จ—แน่นอนสิ เพราะคนอีกกลุ่มที่ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น จะไม่ถูกจารึกและจดจำชื่อของพวกเขาไว้
นับเป็นโชคและผลตอบแทนความพยายามอย่างหนักในการไล่ตามความฝัน แจ็ค อเวรีคือหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ ถึงแม้จะโด่งดังเทียบกับนักแต่งเพลงคนอื่น ๆ ไม่ได้ แต่อัตราเจริญเติบโตในระยะสองปีเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาทำมันได้ และสมควรได้รับมัน
ถึงแม้ในตอนแรก…เรื่องลูกสาวของเขาอาจทำให้ใครต่อใครมองข้ามมันไปก็ตาม
ใช่ แจ็คมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน
เขาทำพลาดในวัยเพียง 19 ปี โดยไม่ทันรู้ด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อของเด็กในท้อง
ในเวลานั้น เหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตาเพราะอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเขาก็ได้เข้าไปสู่วงการดนตรีที่ใฝ่ฝันมาโดยตลอด…และเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น แจ็คต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เขาไม่เคยกล่าวโทษอีกหนึ่งชีวิตที่มีเลือดเนื้อของตัวเองปะปนอยู่ด้วย และต้องขอบคุณที่ตัวเขาเกิดมาในครอบครัวที่ Positive Thinking โคตร ๆ และแจ็คเองก็มองว่าทุกชีวิตมีคุณค่าและสมควรได้ใช้มัน
เขาเลยเลือกที่จะให้เด็กคนนี้มีชีวิตต่อไป
แจ็คเริ่มทุกอย่างใหม่ในช่วงอายุที่กำลังจะย่างเข้า 21 เขาพยายามอย่างหนักในการพิสูจน์ทั้งความมุ่งมั่น…และเขาทำมันสำเร็จ ทุกความพยายามมีผลตอบแทน ขึ้นอยู่กับว่ามันจะมากน้อยและพอใจกับมันขนาดไหน
แจ็ค อเวรีในวัย 24 ปี ประสบความสำเร็จทั้งในด้านอาชีพ ชื่อเสียง รวมถึงครอบครัว…ใช่ ครอบครัวทุกคน และอีกหนึ่งชีวิตที่เกิดจากเขาก็เช่นกัน
“เจนนา— เจน !”
เสียงทุ่มแปล่งร้องเรียกชื่อลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนพร้อมยกมือกวักให้เด็กสาววิ่งมาหาตน เมื่อเห็นดังนั้นดวงตาใสแจ๋วก็ประกายความดีอกดีใจและโผเข้าหา—คุณพ่อ ของตัวเองทันที
“มารับแล้วค่ะ วันนี้เรามีเดทกัน”
เด็กสาวหัวเราะคิกคักเมื่อแก้มทั้งสองถูกฉกชิงไปเสียฟอกใหญ่ ท่อนแขนเล็กคล้องที่ลำคอของร่างสูงโปร่งเมื่อฝ่ายนั้นอุ้มเธอขึ้นมา
“เจนนาอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมคะ ?”
“เปียโน… เปียโน !”
มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยเพราะเด็กสาวโตขึ้นมากับเสียงเพลงและเสียงดนตรี…แจ็คจึงตอบรับคำขอนั้นโดยไม่มีข้อแม้
หลังจากหาอะไรใส่ท้องได้แล้วเขาจึงสับเท้ามาที่ร้านขายอุปกรณ์การดนตรีโดยเลือกที่จะอยู่ในโซนสำหรับเด็ก
เปียโนแบบมีขาตั้งและเก้าอี้ประกอบถูกสั่งซื้อและจะจัดส่งถึงบ้านภายในสามวันโดยมีเด็กสาวร้องเย้ว ๆ อยู่ตลอดการทำรายการซึ่งเรียกความเอ็นดูจากผู้ขายได้อย่างมาก และแทนความขอบคุณ แก้มขาวของแจ็คจึงถูกมอบจูบน้อย ๆ ให้
“อยากไปไหนต่อไหมคะ ?”
หลังออกจากร้านมาเดินกินลมชมวิวได้พักใหญ่ ๆ เขาจึงก้มลงไปถามความเห็นจากลูกสาวที่เริ่มจะตาปรือ เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำการพูด มันคงได้เวลาที่เราจะกลับที่พักสักที
“งั้นกลับบ้านเรากัน”
เขาจึงเปลี่ยนทิศทางการเดินไปยังที่พักของตน
“แจ็ค— แจ็ค อเวรี !”
ขาก้าวไปได้สักครู่ใหญ่ ๆ ก็มีเสียงเรียกไล่หลังมา แจ็คเลยต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปยังเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อของตน…เบื้องหลังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาด้วยอาการกระหืดกระหอบ แจ็คไม่แปลกใจนักหรอกหาจะมีแฟนคลับมาร้องเรียกอะไรแบบนั้น เพราะตลอดวันใช่ว่าจะไม่มีใครแอบถ่ายภาพของตนกับลูกสาว เพียงแต่พวกเขาคงไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของเขาเลยไม่ได้เข้ามาทักทาย
แต่ที่เขาตกใจเป็นเพราะอาการเหนื่อยหอบและเม็ดเหงื่อมากมายตามกรอบหน้าเยาว์ของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายก้มหน้ายืนหอบอยู่พักใหญ่ ๆ หลังวิ่งมาหยุดต่อหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับชะงักไปเพราะสายตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวที่ผล็อยหลับไปแล้ว
เด็กหนุ่มนิรนามกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“พี่…พี่— คือ…”
“ครับ ?”
อีกฝ่ายพยายามจะเรียบเรียงคำพูด แต่สุดท้ายก็ตบเข้าที่กลางหน้าผากของตัวเอง
“เรื่องนี้มันแปลกมาก แต่…เอางี้ พี่จำผมได้ไหม ?”
ร่างเล็กกว่ามีสีหน้างงเป็นไก่ตาแตก อยู่ ๆ มีใครไม่รู้มาวิ่งตามแล้วก็เริ่มด้วยการถามว่าจำตนได้ไหม…แน่นอนสิว่า—
“ไม่…เราเคยเจอกันเหรอ ?”
คนตรงหน้าดูอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะร้อง เอ้อ…ออกมาพร้อมยกมือลูบท้ายทอยของตัวเองไปด้วย แต่แจ็คก็ยังเลือกที่จะยืนอยู่ต่อ หากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงอีกฝ่ายคงไม่วิ่งหน้าตาตื่นตามเขามาหรอก
“พี่…จำเมื่อสี่หรือห้าปีก่อนได้ไหม ที่พี่ไปสังสรรค์หลังจบรุ่น”
คนถูกถามพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะนึกย้อนเหตุการณ์เกือบหนึ่งปีให้หลังหลังจบการศึกษาไป…และแล้วความทรงจำของเขาก็เริ่มประติประต่อเรื่องราวบางอย่างที่เขาลืมที่จะนึกถึงมันไป
“ว— วันนั้นพี่เมา พี่จำไม่ได้หรอกว่าพี่เผลอไปนอนกับใคร”
“…”
“แต่…ผมจำได้”
“ผมเป็นพ่อเด็ก”
“…ผมเป็นพ่อเด็กคนนี้”
แจ็คถอยกรูดทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องพูดให้จบด้วยซ้ำ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำหน้าตาตื่นสับเท้าตามไปแต่ไม่กล้าที่จะคว้าแขนหรือกระชากตัวมาหาไม่ให้หนีไปไหนเพราะยังมีอีกร่างที่เจ้าตัวกำลังอุ้มอยู่ด้วย
“ผมพูดจริง ๆ นะ—ผม…ผมนอนกับพี่คืนนั้น และผมมั่นใจว่าตัวเองเป็นพ่อเด็ก”
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเพราะไม่อยากจะเชื่อคำพูดของคนตรงหน้าสักเท่าไหร่…หากถามความเป็นไปได้ ก็อาจจะจริง ใช่ว่าการแพทย์จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้สักหน่อย
แต่…ไม่รู้สิ ผ่านมาเกือบห้าปีแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพ่อของเด็กจริง ทำไมถึงเพิ่งจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเิาตอนนี้ เพราะชื่อเสียงของเขารึเปล่า
“เชื่อผมเถอะ”
“ไม่ได้บอกว่าไม่เชื่อ…แต่ทำไมถึงเพิ่งบอกเอาป่านนี้ ?”
สีหน้าของแจ็คดูไม่พอใจ
“พี่—ตอนนั้นผมอายุแค่สิบหก และ…และ ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่จะท้อง แถมหลังจากวันนั้นผมก็ต้องกลับเท็กซัส ที่นี่แคลิฟอร์เนียนะ ! พ่อแม่ไม่ปล่อยผมเดินทางแบบนี้เองหรอก…”
“…”
“อีกอย่าง…ผมไม่มีคอนแทคพี่สักหน่อย คิดว่าพี่คงจะจำผมไม่ได้ด้วย”
“…”
“แต่พอผมเห็นพี่ทางทีวีเมื่อปีที่แล้ว—และ และเห็นลูกของพี่…ตอนนั้นผมมั่นใจว่าต้องเป็นลูกผม ผมเลยเพิ่งมา”
แจ็คมีสีหน้าที่ปั้นยาก…ทั้งหมดที่อีกฝ่ายกล่าวมาไม่มีส่วนไหนให้แย้งเลยเพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด เราไม่รู้จักกันโดยส่วนตัว และแจ็คปิดเรื่องตัวเองและลูกมาหลายปีจนกระทั่งสองปีก่อนที่ผู้คนได้รับรู้
มันก็คงจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่า
เขาถอนหายใจออกมาเสียยกใหญ่
“โอเค…โอเค ขอบคุณที่มาบอกนะ ฉันเลี้ยงเธอได้ ไม่เป็นไ—”
“แต่งงานกับผม”
รอยยิ้มที่ตั้งใจจะส่งให้แทนคำขอบคุณหายไปในทันที
“ผมเป็นพ่อเด็ก แต่งงานกับผมนะ”
แจ็คอยู่ในอาการช็อคค้างจนไม่ทันได้เดินหนีคนที่มาคว้าหมับเข้าที่ไหล่ทั้งสอง เปลือกตาขาวกะพริบปริบ ๆ ก่อนจะมีสีหน้าอ่อนลงอย่างหน่ายใจ
“นี่—ไอ้หนู นายเป็นพ่อเด็กก็จริง แต่ฉันไม่ได้ขอให้นายมารับผิดชอบสักหน่อย”
แจ็ครู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ในแววตาคู่ตรงหน้ากำลังสื่อถึงเขาเหมือนว่าโลกทั้งใบกำลังทลาย ซึ่งเขาเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูก…ที่ผ่านมาเขาเลี้ยงลูกสาวมาด้วยตัวเอง และไม่เคยนึกถึงหรือร้องหาคนที่เป็นพ่อของเด็ก
…เขาคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
“ไม่สิ…คือ ก็ใช่ แต่— โธ่เว้ย !”
มือแกร่งผละจากไหล่ทั้งสองข้างไปขยี้เส้นผมที่เซิงอยู่แล้วจนเริ่มไม่เป็นทรงด้วยความหัวเสีย
อีกฝ่ายเม้มปากแน่น
“ผม…ผมรู้ ผมรู้พี่จำผมไม่ได้ แต่ผมเคยชอบพี่นะ”
“…”
“ตอนวันจบ— ผมได้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที ผมขยิบตาให้พี่ด้วย และพี่…พี่ก็หัวเราะให้ผม !”
โอ้โห…
แจ็คเผลออุทานออกมาในใจเพราะคำบอกเล่าจากปากอีกฝ่าย พูดตามตรงเวลาขนาดนี้ แถมมีเรื่องราวใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาทุกวัน…เขาจำเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้หรอก
แต่ใช่ว่าเขาจะไม่เชื่อที่อีกฝ่ายเล่า
“แล้ว…ยังไงต่อ ?’
อีกฝ่ายชะงักไป
“ก็…เด็กคนนี้เป็นลูกของผม”
“…”
“ผมรู้— ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้ขอให้รับผิดชอบ” เขาชิงพูดขึ้นมาก่อนที่อีกฝ่ายจะได้แย้งอะไร “แต่ผมอยากทำหน้าที่นั้นนะ…แบบ คนในครอบครัวอะ”
“ผมยังชอบพี่อยู่นะ”
“ถ้า…ถ้าตอนนี้พี่ไม่ตกลงแต่งงานกับผม—งั้นให้โอกาสผมจีบพี่ได้มั้ย”
เด็กหนุ่มทำสีหน้าเว้าวอนและจ้องคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างคาดหวัง ซึ่งเจ้าตัวน่ะเหรอ…เอาแต่ทำสีหน้าประหลาด ๆ
แล้วก็ขำพรืดออกมา
“…”
มือขาวยกขึ้นปิดปากก่อนเคลื่อนไปลูบแผ่นหลังของเด็กสาวที่หลับตาอยู่เพื่อเช็คว่าเธอไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่น
แจ็คเบนสายตากลับไปหาคนที่กำลังทำสีหน้าเหวอ ๆ ไม่รู้สิ บางอย่างในตัวของอีกฝ่ายทำให้เรารู้สึกว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่แย่อะไร หนำซ้ำ…รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองมากเสียด้วย
“ก็ไม่ได้ปิดกั้นใครสักหน่อย…”
“…”
“พยายามเอาเองแล้วกัน— ชีวิตฉันไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิมนาน ๆ นะ”
เด็กหนุ่มยังคงอ้าปากค้างอยู่อีกครู่ใหญ่ ๆ ก่อนที่ใบหน้าเยาว์จะฉีกยิ้มกว้างแล้วร้อง เยส! ออกมาเบา ๆ พร้อมกระโดดไปมาอยู่ไม่สุข
จนอีกฝ่ายเลิกออกอาการแล้วนั่นแหละ เจ้าตัวถึงหันมายิ้มกว้างให้เขา
“ผม…ผมชื่อแซค เฮอร์รอน”
“ตอนนี้จำชื่อของผมไว้ก่อน แล้ววันนึง…พี่จะได้จำผมในฐานะสามี”
ป้องกันแล้ว:Friend? No, Thanks #ToroWukong
Out of this place of sorrow #SephCarl
Title: Out of this place of sorrow
Pairing: Photographer × Embalmer
Rate: PG-13
Note: เอื่อย ๆ ไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปค่ะ…เราเพิ่งมาเล่นเกมนี้ได้ไม่นานแต่รู้จักและชอบตัวละครสองตัวนี้เป็นพิเศษ ข้อมูลที่รู้ยังมีแค่น้อยนิดแต่อดไม่ได้ที่จะเขียนมาก่อน ว่าง่าย ๆ คือเราแต่งสดเลย ต้องขอโทษในความผิดพลาดต่าง ๆ ด้วยค่ะ ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นย่างก้าวเข้ามายงคฤหาสน์แห่งนี้เพื่อร่วมแข่งขันเกมหฤโหด…เขารับรู้ได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่ดึงดูดให้มิอาจละความสนใจไปจากร่างกายอันเปราะบางทว่าสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง
โจเซฟไม่เคยปราณีผู้รอดชีวิตคนไหนมาก่อน
แน่ล่ะ—เอซอป คาร์ลเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่บุรุษจากแดนไกลเองก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่เกือบจะอ่อนข้อให้ความกับความมุ่งมั่นอันน้อยนิดที่ประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้น แค่…เกือบ ยังไงเสียมันก็คือการแข่งขัน หากต้องการชนะ ก็ต้องชนะเพียงอย่างเดียว มันคือกฎ
ภูมิหลังของผู้รอดชีวิตแต่ละคนถูกเปิดเผยเพียงน้อยนิด นั่นรวมถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคนด้วย…เพียงแค่ร่วมมือกันหาทางหนีทีไล่ไม่ได้บ่งบอกว่ามาอย่างมิตรหรือศัตรู
แต่ทำไมหนอทำไม…เขากลับรู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างอ่านได้ง่ายดายแม้ดวงตาคู่นั้นจะฉายเพียงความว่างเปล่า น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นความรู้สึกอื่นที่เจือมาด้วย…อย่างเช่น ความเศร้าโศกและอาลัย
ปลงตกกับทุกอย่าง แม้กระทั่งความสิ้นหวังก็มิอาจเกาะกินจิตใจอันหม่นหมองนั้นได้
โจเซฟเห็นตัวเอง
ทั้งที่มันไม่ใช่ภาพถ่ายของตนด้วยซ้ำ
.
.
เสียงทุ้มฮัมเพลงแสนเสนาะหูออกมาระหว่างจรดปลายนิ้วกรีดกรายที่อาวุธคู่กาย ผู้รอดชีวิตคนที่สามถูกส่งกลับไปยังคฤหาสน์แล้วหลังจากคิดจะหลบหนี ทว่าไม่สำเร็จ
เหลืออีกหนึ่ง
เรียวปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อนึกถึงผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย…ใครบางคนที่เขาสนอดสนใจนักหนาจนแทบไม่เป็นตัวเอง
ในวินาทีการไล่ล่า เขาได้พบเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ออกจะบ่อย แต่เลือกที่เปลี่ยนเป้าหมายไปหาคนอื่น
ออกจะสนุกดีที่ได้เห็นเด็กคนนั้นใช้ความสามารถของตนเองในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตคนอื่นแทนที่จะใช้มันเอาชีวิตตัวเองให้รอด
ขลาดกลัวในการอยู่ต่อหน้าผู้คนแท้ ๆ แต่กลับช่วยเหลือพวกเขาแม้อาจไม่ได้รับการช่วยเหลือตอบแทน…ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีอะไรเช่นนี้นะ ?
โจเซฟไม่ได้รีบเร่งในการตามหาเจ้าของฉายานักแต่งศพ เพราะเขาได้ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป…กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่นอนหมอบอยู่บนอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็น—โลงศพ ?
เขาเร่งฝีเท้าไวขึ้นนิดหน่อย รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้าหาเด็กหนุ่มคนนั้นแม้เราจะไม่เคยมีบทสนทนาร่วมกันเลยสักครั้ง…ส่วนมาก จะเป็นบทสนทนาฝ่ายเดียว แหงล่ะ ต้องเป็นฝ่ายผู้ล่าอย่างเขาแน่อยู่แล้วที่เอาแต่พูดไปเรื่อยส่วนอีกคนน่ะไม่คิดจะฟังมันด้วยซ้ำ
เอาเถิด…บทบาทของเรามันต่างกัน ไม่แปลกหากจะวิ่งหนีให้พ้นเงื้อมือของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักล่า
สองเท้าหยุดยืนอยู่เบื้องหลังร่างที่นอนฟุบกับโลงศพที่ภายในนั้นว่างเปล่า ข้างกายมีอุปกรณ์แต่งเติมใบหน้าที่หักไม่เหลือชิ้นดีตกหล่นอยู่…ซึ่งโจเซฟไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน
ร่างอันบอบช้ำกำลังสั่น…อาจด้วยความกลัวหรือเจ็บปวดเพราะพิษบาดแผลก็มิอาจคาดเดา
“เธอทำพลาด…เธอต้องกลับไปที่คฤหาสน์ รู้ใช่ไหมครับ ?”
เอื้อนเอ่ยคำพูดที่รู้ดีว่าคงไม่มีการตอบรับใดจากคู่สนทนา เอซอป คาร์ลยั่งคงสั่นระริกดูน่าสงสาร…บ่อยครั้งที่เขาเคยคิดว่าทำไมเด็กคนนี้จึงตอบรับคำชวนเพื่อมาพบเจอชะตาชีวิตอันน่าเวทนาเช่นนี้ มันมีอะไรที่เลวร้ายอยู่ภายนอกงั้นหรือ ?
นัยน์ตาสีฟ้าคู่งามมองสำรวจความบอบช้ำที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของตน…สิ่งที่สะดุดของนักล่าหนุ่มมากที่สุดคงไม่พ้นมือที่กำพู่กันครึ่งท่อนไว้แน่นจนเกิดอาการสั่นเกร็ง—เพียงครู่เดียว มันก็ร่วงตกลงสู่พื้นดินด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่ไม่อาจฝืนทนได้อีกต่อไป
เอซอป คาร์ลกำลังจะยอมแพ้ พูดให้ถูกคือไม่เหลือหนทางที่จะเอาชนะแม้แต่นิดเดียว เสียงหัวใจที่เต้นเบาลงเรื่อย ๆ เป็นข้อพิสูจน์ที่ชี้ชัดในเรื่องนั้น โจเซฟครวญครางในลำคอเบา ๆ กับสภาพอันน่าอดสูที่ปรากฏแก่สายตา
“ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่, น่าสงสาร…”
โจเซฟมีสองทางให้เลือก ระหว่างรอให้อีกฝ่ายหลับไหลหรือจะส่งตัวกลับไปยังคฤหาสน์ตั้งแต่ตอนนี้
ในวินาทีที่เสียงตึกตักในหูกำลังจะหายไป ร่างอันบอบบางก็ถูกคว้ามาไว้ในอ้อมอกแม้จะตะกายกอดโลงศพที่พึ่งของตัวเองในทีแรกก็ตาม ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด จึงต้องจำยอม
ร่างอันบอบช้ำถูกอุ้มไว้แนบกายในท่าทางที่ดูทะนุถนอมกว่าคนอื่น ที่หมายของชายหนุ่มนักล่าคงไม่พ้นเก้าอี้ตัวเก่าคร่ำครึที่ถูกวางทิ้งไว้โดยรอบ เอซอปกลิ้งนัยน์ตาสำรวจรอบกายผ่านเปลือกตาสีซีดที่ดูจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ หมอกบาง ๆ สร้างความหนาวเหน็บแทรกซึมผ่านเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นได้ไม่น้อย
เจ็บ…เหนื่อย…หนาว
สามคำวนเวียนอยู่ในความคิด
เหมือนกับวังวนที่เขาต้องลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่เก่า ๆ หาทางหนีเอาตัวรอดจากคำชักชวนที่ตนเองตอบรับแบบไม่จบไม่สิ้นหากไม่สามารถหลบหนีออกไปได้
ร่างกายที่ถูกโจมตีด้วยความเหนื่อยอ่อนมาอย่างยาวนานไม่สามารถต้านทานมันได้อีกต่อไป เปลือกตาขาวซีดแนบสนิท เอนหัวพิงที่บ่าของผู้ล่า…คงไม่เสียหาย อย่างไรแล้วอีกครู่เดียวเขาก็จะถูกพากลับไปยังคฤหาสน์สุดพิศวง
.
.
เอซอป คาร์ลลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือ…เขายังไม่ถูกส่งตัวกลับไป และยังนอนอยู่ในอ้อมแขนของผู้ล่าจากแดนไกลนามว่าโจเซฟ
เด็กหนุ่มผงกหัวขึ้นมาอย่างแช่มช้า มองเจ้าของเรือนผมสีสว่างกำลังพลิกรูปถ่ายในมือไปมาด้วยความเงียบเชียบ…ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวรู้ว่าเขาตื่นแล้วก็ตาม แต่อีกฝ่ายดูจงใจที่จะทำเช่นนั้น
ร่างผอมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตักผู้ล่า…บนเก้าอี้ตัวเก่าที่ควรใช้กักขังผู้รอดชีวิตคนอื่นก่อนนำตัวส่งไปยังคฤหาสน์อีกครั้ง เอซอปเริ่มขยับขาดิ้น—แค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะร่างกายของเขายังไม่ได้รับการรักษา มันยังคงบอบช้ำอยู่เหมือนเดิม
ท่อนแขนข้างที่ประคองแผ่นหลังบอบบางเอาไว้เริ่มเคลื่อนมากระชับที่รอบเอวเมื่อเด็กหนุ่มเริ่มต่อต้าน ใช้เวลาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียวกว่าร่างนั้นจะสงบลง…พูดให้ถูก หมดแรงแล้วต่างหาก
“เป็นเด็กที่ดื้อกว่าที่คิดนะครับ…”
เจ้าของเสียงทุ้มหัวเราะออกมาอย่างนึกเอ็นดูเมื่อได้รับสายตาที่ตวัดมองอย่างไม่พอใจ รูปถ่ายในมือถูกโปรยทิ้งอย่างไม่ใยดี และหันมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มในอ้อมแขนทั้งสองข้าง…อย่างใกล้ชิด
“อยากรู้จัง…อะไรพาเธอมาที่นี่”
“…”
“ถึงเธอจะดูเศร้าตั้งแต่ก่อนมาถึงก็เถอะ, แต่ถ้าอยู่ข้างนอกนั่น… อาจมีสักวันที่เธอมีความสุขได้แท้ ๆ”
เขารำพึงออกมาอย่างน่าเสียดาย ซึ่งที่พูดออกมานั้นล้วนเป็นความจริง แม้ข้างนอกจะโหดร้าย แต่มันต้องมีสักวันที่เมฆฝนจะหายไป…ผิดกับที่นี่ ที่อาจไม่มีวันได้รอดกลับไป
นิ้วเรียวยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่ผุดอยู่ตรงขมับขาวทั้งที่อากาศออกจะเย็น…มันคืออาการวิตกรึเปล่านะ ? บางทีเขาอาจเผลอพูดอะไรกระทบจิตใจเข้าให้
“อยากออกไปหรือเปล่า ?”
มันเป็นเพียงเสี้ยววิเดียวเท่านั้นที่มองเห็นความโศกเศร้าสุดจะบรรยายที่ออกมาจากแววตาคู่นั้นแม้ไม่ได้สอดประสาน, ช่างน่าสงสาร…
มือขาวเริ่มบรรจงลูบไล้ตามท่อนแขน แผ่นหลัง และบริเวณอื่นที่สมควรจะแตะต้องผ่านชุดที่สวมใส่ เอซอปห้ามตัวเองไม่ให้เกิดอาการสั่นกลัวแม้ในใจจะกรีดร้องเพราะนึกรังเกียจสัมผัสที่ลากผ่านร่างกายนั้นก็ตามที
อึดอัด
ไม่ชอบ…ไม่ชอบ
อย่านะ
สามคำวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง แต่อากัปกิริยาที่แสดงออกมามีแค่การหายใจที่รุนแรงและหนักขึ้นจนแผ่นอกกระเพื่อม นิ้วทั้งสิบกุมเข้าหากันและพยายามขัดขืน
“ไม่ชอบสินะครับ…”
ท่อนขาที่เริ่มเตะกันไปมาไม่อยู่นิ่งคือคำตอบ
“ชู่ว, ไม่ใช่ผู้รอดชีวิตฝ่ายเดียวที่เยียวยาอาการบาดเจ็บได้นะครับ”
น้ำเสียงที่อ่อนลงนั้นได้ผล ร่างของเด็กหนุ่มชะงักและนิ่งไปในทันทีที่เสียงทุ้มน่าฟังกล่าวจบ และเริ่มมีความลังเลสับสนปรากฏอยู่ในแววตาคู่นั้นเพิ่มขึ้นมา
ต้องการอะไร
“ผมเวทนาเธอเหลือเกิน…”
โจเซฟพูดถูก ไม่ใช่เพียงผู้รอดชีวิตที่เยียวยาอาการบาดเจ็บเหล่านั้นได้…เขาทำมัน หากแต่ ไม่ถึงขั้นปล่อยให้เอซอปได้เดินเหินอย่างคนปกติ
เรี่ยวแรงที่หดหายได้คืนกลับพอจะลากร่างของตัวเองไปไหนมาไหนได้โดยไม่ล้มพับไปเสียก่อน แต่นักล่าก็ยังไม่ปล่อยให้เหยื่อหลุดออกไปจากอ้อมแขนของตน
ถึงทำ โอกาสที่เอซอปคิดจะลุกออกไปในทันทีก็มีน้อยมาก
เพราะเขาเหนื่อยเหลือเกิน
ลมหายใจกลับมาผ่อนในจังหวะที่เป็นปกติเมื่อสองมือที่ไม่อยู่นิ่งกลับมาวางไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม นัยน์ตากลมที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในทางฉงนใจกลอกขึ้นมองใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มอิ่มเอมใจแต่น่าหวาดผวาลึก ๆ, ชายคนนี้ต้องการอะไร ?
เอซอปนิ่งเมื่ออีกฝ่ายหัวเราะขบขัน
“ได้ตั้งใจฟังผมพูดบ้างไหม ?”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ แม้จะได้ยินทุกถ้อยคำตลอดเวลาที่ผ่านมาเพียงแต่ไม่นึกเก็บมาใส่ใจก็เท่านั้น
“ผมจะบอกอะไรดี ๆ ให้นะครับ ฉะนั้นตั้งใจฟัง…”
“มีทางลับ…อยู่ตรงนั้น”
ว่าจบก็ผละมือหนึ่งข้างออกไป ชี้ไปยังจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักและเป็นระยะที่พอจะเดินไปถึงได้ด้วยสภาพอันบอบช้ำเช่นนี้
ทางลับ…
ทางที่จะออกไปสู่อิสรภาพ—สู่โลกข้างนอกงั้นหรือ ?
โจเซฟหันกลับมาหาเจ้าของแววตาอันสับสนอีกครั้ง ฉีกยิ้มด้วยความพึงพอใจกับปฏิกิริยาที่ไม่ผิดจากที่คาดเดาไว้เลยสักนิด
“เพียงแค่เธอเดินลงไป…เธอจะได้กลับไปใช้ชีวิตเดิมที่เธอเหลืออยู่จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต”
“ไม่ต้องเหนื่อยล้ากับการหลบหนีแบบนี้อีกต่อไป”
เพียงได้ยินคำว่าชีวิตเก่า ร่างกายพลันสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
“ไปสิครับ ไป…เธอจะเป็นอิสระ”
เนิ่นนานจนน่าใจหายที่เอซอปยังนิ่งเงียบไม่ขยับร่างกายหรือตอบรับเป็นคำพูดกลับมานอกจากอาการสั่นเทาน้อย ๆ
และแล้วร่างกายแสนเปราะบางที่ใกล้จะแตกสลายตามความรู้สึกของเจ้าตัวก็เบียดเข้าหา ฝังใบหน้าลงที่บ่ากว้างของช่างภาพที่ได้ชื่อว่าเป็นนักล่าเพื่อปิดกั้นการรับรู้ที่เหลือ
เรียวปากซีดระบายยิ้ม
“ตัดสินใจจะไม่กลับออกไปงั้นซี…โง่อะไรขนาดนี้”
เขาหัวเราะผะแผ่ว ก่อนจะช้อนร่างที่อยู่บนตักขึ้นมาไว้แนบตัวเพื่อส่งกลับไปยังคฤหาสน์ด้วยตัวเอง
“เมื่อเธอปฏิเสธอิสระที่ผมมอบให้ในครั้งนี้, เอซอป คาร์ล…”
“ผมจะไม่ปล่อยเธอไปเป็นครั้งที่สอง
“…และไม่มีวัน”
Nobody Gotta Know #Jachary
Pairing : Zach H. × Jack A.
Rate : PG
Note : น่ารัก ใส ๆ ฟลัฟฟี่ ๆ กับเดทตอนกลางคืน
แจ็คไม่คิดว่าตัวเองจะมาโผล่อยู่หน้าสวนสนุกในเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบห้า
ถ้าหากคนที่ยืนอยู่ข้างกายไม่คว้ามือเขาแล้วพาวิ่งออกมาจากคนอื่น ๆ
หลังสิ้นเสียงที่บอกให้ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้เวลาที่เหลือ แจ็คตั้งใจว่าจะไปดื่มด่ำบรรยากาศตอนค่ำกับแดเนียลพร้อมกาแฟสักแก้ว แต่…มีมือหนึ่งคว้าเขาไว้ และยังไม่ทันจะทักท้วงอะไรเขาก็สับเท้าวิ่งหน้าตาตื่นตามแรงฉุดออกมา
แจ็คยังคงงุนงง ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยส่วนตัวของเขาที่ตั้งรับอะไรที่เกิดขึ้นแบบกะทันหันไม่ได้ เลยได้แต่ยืนปั้นหน้านิ่งรอคนที่แจกยิ้มให้คนขายตั๋วพร้อมชูสองนิ้วไปพลาง
“หลับไปแล้วเหรอ ?”
ตอนนี้เขา—พวกเรา เข้ามาอยู่ภายในสวนสนุกแล้ว โดยภาพเบื้องหน้าเป็นเด็กที่อ่อนกว่ากำลังโบกไม้โบกมือเย้ว ๆ ให้
แจ็คขมวดคิ้ว
“สวนสนุก…สองทุ่ม ? คิดได้ไงเนี่ย”
“ฉลาด”
อีกฝ่ายหัวเราะร่วนและเริ่มกึ่งลากกึ่งจูงคนที่ตัวเล็กกว่าให้ไปเล่นเครื่องเล่นด้วยกัน
2 ใน 6 คือจำนวนเครื่องเล่นที่แจ็คยอมขึ้นไปเล่นด้วย…นั่นคือม้าหมุนและชิงช้าสวรรค์ ส่วนที่เหลือเขาขอบายเพราะง่วงเกินกว่าจะไปเล่นอะไรผาดโผนเหมือนคนที่พลังชีวิตเต็มเปี่ยมตั้งแต่เช้าจรดเย็น
“อย่าพึ่งหลับ”
“ยัง—โว้ย ! เลิกเอาหน้ามาใกล้ได้แล้ว !”
แซคระเบิดหัวเราะ ทุกครั้งที่เห็นว่าแจ็คเงียบและเอาแต่มองออกไปแบบไม่มีจุดหมาย เด็กหนุ่มจะเข้าไปเป่าหน้าอีกคนเพื่อเรียกร้องความสนใจกลับมาตัวเอง
แลกกับการโดนกำปั้นยีหัวมันก็คุ้มอยู่หรอก
แซคร้องลั่นระคนส่งเสียงหัวเราะ เขาเอื้อมแขนไปคว้าเอวคนตัวเล็กกว่าแล้วจับเหวี่ยงจนสุดท้ายร่างนั้นก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ด้วยความเป็นเด็กช่างแกล้ง ทำอะไรไวแบบไม่ทันคิด จมูกรั้นเลยแนบอยู่ที่แก้มขาวเสียฟอดใหญ่
แจ็คตกใจ แซคก็ตกใจ…เด็กหนุ่มปล่อยอีกคนออกจากวงแขนแล้วรีบวิ่งเตลิดออกไป แจ็คคิดว่านั่นเป็นการแกล้งอย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นเขาจึงเร่งฝีเท้าตามอีกคนไปเพื่อเอาคืน
มือขาวคว้าฮู้ดของอีกฝ่าย ดึงรั้งกันอยู่หลายทีแต่แซคก็ไว หนีหลุดออกไปได้ทุกครั้งจนเด็กหนุ่มทั้งสองวิ่งออกมาไกลจากสวนสนุก
สุดท้ายแจ็คก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ ตะโกนลั่นแข่งกับเสียงเพลงที่เปิดคลออยู่ในงาน—แซคหัวเราะ ยอมวิ่งกลับมาหันคนที่ยืนหอบตัวโยนอยู่ไม่ไกล
“ยอมแล้วเหรอ— ยอมแล้วเหรอ”
แซคถาม และยังส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นระยะ คนอายุมากกว่าพยายามหัวเราะออกมาแข่งกับเสียงหอบ กวักมือเรียกอีกคนให้เข้ามาใกล้เพราะจะขอยืมไหล่ไว้พยุงตัว
แต่เมื่ออีกคนเข้ามาใกล้ แจ็คก็กระโจนและทิ้งน้ำหนักใส่จนล้มลงไปเกลือกกลิ้งบนพื้น
“โอ๊ย ๆ—”
แซคร้องโอดโอยทั้งที่ตัวเองยังขำไม่หยุด โอเค—มันอาจจะจุกนิดหน่อย แต่ไม่มีส่วนไหนเจ็บปวดจนต้องกังวล
แต่เขาชักจะเริ่มหนักแล้วล่ะถ้าแจ็คยังนอนทับอยู่แบบนี้
“เฮ้—แจ็ค…”
เจ้าของชื่อที่นอนเอาหน้าแนบอกเขาอยู่ยอมผงกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก…อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะส่งยิ้มที่ทำให้เขาลืมไปเลยว่าตัวเองคิดจะพูดอะไร
แซคนอนราบลงไปกับพื้น สายตาจับจ้องขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน เอ่ยปากว่า ‘ดูนู่น’ พร้อมชี้นิ้วขึ้นไปด้วย
แจ็คเงยหน้ามอง ท้องฟ้าสีเข้มที่มีดวงดาวประดับเป็นกระจุกบ้าง กระจายตัวบ้าง ดูไม่เป็นรูปเป็นร่างเอาเสียเลย…แต่ถ้าตัดเรื่องความสวยงามออกไป การได้เห็นดาวชัด ๆ ในเมืองแบบนี้ก็นับว่ามหัศจรรย์แล้วล่ะ
แจ็คก้มมองเจ้าของร่างที่ตัวเองกำลังนอนทับอยู่เมื่อรู้สึกว่ามีมือเลื้อยอยู่บนช่วงเอวของเขา—และ ใช่…แซคกำลังส่งยิ้มซุกซนมาให้
“ถ้าจะชวนนอนดูดาวล่ะก็ ต้องไม่ใช่กลางถนนแบบนี้”
ว่าจบก็ลุกออกไปโดยไม่ลืมดึงแขนคนที่นอนอยู่ให้ให้ลุกตามมาด้วย
เท้าสองคู่ย่ำลงบนหญ้าที่ถูกปูไว้เป็นทางลาดเอียง จนกระทั่งหาจุดที่เหมาะจะนอนชมดาวชมเดือน—หรือแม้แต่แม่น้ำ พวกเขาก็พากันเอนตัวลงไป
แซคผิวปาก—เสียงเบา ๆ ข้างหูที่สามารถกลบเสียงดนตรีเด็กเล่นที่อยู่ห่างออกไปได้
ตอนนี้แจ็ครับรู้แค่เสียงผิวปาก ภาพกลุ่มดาวรูปร่างประหลาด และ…เท้าของแซคที่กระดิกไปมาแบบอยู่ไม่สุข
“นึกถึงเพลงของเราเลย”
อยู่ ๆ แซคก็เลิกผิวปากและโพล่งออกมา เจ้าของเรือนผมหยักศกหันไปมองคนที่ส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเริ่มเปล่งเสียงร้องเป็นทำนอง…
“Take the time with me tonight~”
มันคือท่อนที่อีกฝ่ายร้องในเพลง Nobody Gotta Know…แจ็คไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรคือสาเหตุให้เขาต้องหลุดขำออกมาแบบนี้ แซคผุดยิ้ม แต่ยังพยายามคุมเสียงและร้องเพลงต่อไป
“I’ve been missin’ I’ve been crushin’ on you all night”
สุดท้ายแจ็คก็ห้ามตัวเองไม่ให้เปล่งเสียงร้องออกไปไม่ได้ เพราะไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก่อนเสียงของเขาเลยอาจจะดูแปล่งไปบ้าง แต่นั่นไม่ทำให้ทั้งคู่เงียบเสียงลงไป
“Nobody Gotta Know—”
จนมาถึงท่อนฮุคอีกครั้ง เสียงของแซคตัดไปอย่างกะทันหันในขณะที่เขายังฮัมเป็นทำนอง เด็กที่ตัวโตกว่ายันลำตัวท่อนบนขึ้นแล้วโน้มหน้าลงไปหาคนที่ยังนอนราบอยู่เหมือนเดิม
แจ็คมองนัยน์ตาที่เป็นประกายวาววับเบื้องบน…ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะแสง หรือประกายในตัวของมันเองกันแน่ ?
แซคยังไม่หยุดใบหน้าที่เริ่มเคลื่อนมาใกล้ จนคนโตกว่าชักไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่จึงใช้มือดันใบหน้าน่ารักออกไปก่อนที่ระยะห่างมันจะน้อยมากไปกว่านี้
แซคส่งเสียงที่เป็นเชิงเสียดายออกมา
“สรุป…ทำไมต้องสวนสนุกตอนสองทุ่ม ?”
แจ็คถามในสิ่งที่ตนสงสัยมาตั้งแต่แรกเริ่มแต่ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ
“เพราะคนอื่นไม่มีทางตามมา”
เขาเลิกคิ้ว
“ก็เมื่อกี้ไง— มาใช้เวลาคืนนี้กับผมเถอะนะ”
อีกฝ่ายส่งยิ้มแพรวพราว…นั่นเป็นเนื้อเพลงที่เราเพิ่งจะร้องไปเมื่อครู่ แจ็คคิดว่ามันคงเป็นข้ออ้างเพราะอีกฝ่ายคงหาคำตอบที่ดีกว่านี้ไม่ได้
อีกฝ่ายยังเด็ก…อย่าไปถือสาความคิดตื้น ๆ แบบนั้นเลย
แจ็คบอกตัวเอง
“…ไม่ชอบเหรอ ?”
แซคถามเสียงอ่อนเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จ้องเขาโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร หรือแม้แต่คำพูดสักคำก็ยังไม่มี
แจ็คส่ายหน้า
“เปล่า แค่ตกใจ…อยู่ ๆ นายก็ลากฉันออกมาจากคนอื่น”
“งั้นแปลว่าโอเค ?”
คราวนี้แจ็คพยักหน้า
“งั้นคราวหน้าจะพาไปอีก”
“ไป…ไปไหน ? สวนสนุกอีกเหรอ ?”
“ไม่ใช่ ไปที่ไหนก็ได้ที่มีแค่พี่กับผม”
“อาห้ะ…”
“ตกลงไหม ?”
แจ็คมองใบหน้าที่ดูคาดหวังยามจับจ้องมาทางเขา อีกฝ่ายนิ่งเงียบรอคำตอบ…ซึ่งเขามองว่ามันดูน่ารักสมกับเป็นน้องเล็กของวงดีเหมือนกัน
“ตกลง”
“สัญญานะ ?”
แจ็คหัวเราะร่วน—มองมุมปากที่กระตุกยิ้มออกมานิดหน่อยแต่พยายามทำหน้าเคร่งขรึมเพราะต้องการคำตอบที่แน่นอนจากเขา
แจ็คเอื้อมมือไปบีบแก้มขาวที่เต็มไปด้วยเลือดฝาดเบา ๆ
“สัญญา”
แซคยิ้มออกทันทีที่ได้รับคำตอบที่ต้องการ เด็กหนุ่มคว้ามือขาวที่คลอเคลียอยู่ข้างแก้มมากุมไว้ ก่อนจะจุมพิตที่หลังมือนั้นเบา ๆ
แจ็คกะพริบตาถี่
อย่าไปถือสาอะไรกับการกระทำซื่อ ๆ ของเด็กเลย
…แจ็คเตือนตัวเองแบบนั้น
ป้องกันแล้ว:(WDW) D A T
ป้องกันแล้ว:(WDW) Friday Night
[Tomie] lil’ troublemaker
Pairing : Jamie Campbell Bower × Toby Regbo
Rate : PG(งุ้งงิ้ง….)
Note : ต้องบอกไว้ก่อนว่า OOC ค่อนข้างมากค่ะ เรียกว่าเราเมคขึ้นมาใหม่เลยก็ได้(ส่วนนึงอิงความหัวดื้อของโทบี้มาจากบทเจมส์ในเรื่อง STPWBUTY) และ ถึงหัวเรื่องจะบอกว่าเป็นเจ้าตัวแสบ เจ้าตัวน้อย แต่ที่จริงแล้วไม่ค่อยมีอะไรเลยค่ะ(ฮา) ก็..อ่านเรื่อย ๆ เพลิน ๆ แล้วกันเนอะ คงไม่ทำเป็นเรื่องยาว แต่เราแน่ใจว่าอาจจะมีตอนต่อไป—ค่อนข้างติดลมพี่ดุกับน้องดื้อน่ะค่ะ เขียนพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ ฮื่อ ขอให้สนุกนะคะ ! ,____, ♡
โทบี้กำลังหัวเสีย
เด็กหนุ่มตัวขาววัย 17 ปี เจ้าของชื่อโทบี้ เร็กโบกำลังเดินวนไปมาอยู่บนพรมเช็ดเท้าที่ห้องนั่งเล่นพลางใช้มือแตะริมฝีปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีมีโร่—สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสนิทหันมองตามตลอดเวลา
สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่แบบนี้ก็เพราะพ่อและแม่ของเขาเพิ่งจะออกเดินทางไปเที่ยว..พร้อมกับคุณป้าข้างบ้าน ไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหา—ปัญหาที่แท้จริงคือ ระหว่างที่ผู้ใหญ่ทั้งสามไม่อยู่ โทบี้จะต้องอยู่เฝ้าบ้านโดยอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หลานชายสุดที่รักของคุณป้าผู้แสนใจดีจะมาอยู่ดูแลเขา !
สาบานได้ โทบี้โตพอจะอยู่ดูแลบ้านคนเดียว..แต่กับบ้านข้าง ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวคนเดียวอยู่อาศัยจะให้ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลคงจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เด็กหนุ่มที่หายหน้าไปหลายปีจึงถูกไหว้วานให้กลับมาดูแลบ้านหลังนั้นในระยะเวลาสั้น ๆ
เจมี่ แคมป์เบล บาวเวอร์
จะเรียกว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ถูก ป่านนี้คงกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวไปแล้วล่ะมั้ง
ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักเสียหน่อย ถ้าพระเจ้าเห็นใจเขาล่ะก็ ช่วยให้หมอนั่นอยู่คนเดียวไม่มาวุ่นวายกับเขาที โทบี้จะได้ใช้เวลาเกือบสัปดาห์หมดไปกับการนั่งนอนดูซีรีย์กับมีโร่พร้อมป๊อปคอร์นถังใหญ่โดยไม่มีใครมาเจ้ากี้เจ้าการใส่เขา
ไม่ ไม่ ไม่—เจมี่ที่เขารู้จักมาตั้งแต่เล็กขึ้นชื่อเรื่องความ’ดุ'(สำหรับโทบี้แค่คนเดียว)
ดุที่ว่าหมายถึงหน้าตาที่ชอบทำคิ้วขมวดใส่เขา ไหนจะดวงตาที่เอาแต่จ้องเขม็งมาราวกับจับผิดทุกการกระทำของโทบี้
นั่นยังไม่รวมคำพูดที่ไม่เสนาะหู(สำหรับโทบี้แค่คนเดียวอีกแล้ว)พวกนั้นอีก !
แค่นึกถึงแววตาดุ ๆ คู่นั้นเขาก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียจนมีโร่หูตั้งด้วยความตกใจ เจ้าสี่ขาเพื่อนรักผุดขึ้นมาวิ่งวนที่เท้าขวา โทบี้อุ้มเพื่อนสนิทตัวน้อยขึ้นมากอดไว้ก่อนจะทิ้งตัวแหมะลงกับโซฟา
หันมองดวงตาใสแจ๋วที่จ้องอยู่ก่อนแล้วจึงอ้าปากเตรียมระบายความในใจให้ฟังถึงแม้ว่ามีโร่จะไม่เคยเข้าใจเลยก็ตาม ทว่าเสียงออดหน้าบ้านกลับดังขัดขึ้นมาเสียก่อน เขามองมีโร่ด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก—ใครมาน่ะ ?
คงไม่ใช่เจมี่หรอก..ใช่ไหม
ยังไม่ถึงเที่ยงเลย !
ยังไม่ทันโอดครวญอะไรออกมา เสียงออดครั้งที่สองจึงดังขึ้นและครั้งที่สามตามมาติด ๆ
โทบี้รีบรุดไปยังหน้าประตู บิดลูกบิดแง้มออกให้คนด้านนอกรู้ว่าเขาออกมาต้อนรับแล้ว แต่ก็เพียงแค่แง้มล่ะนะ
‘ฉันตายแน่ ..’ เขาก้มลงไปกระซิบโดยไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ให้สุนัขในอ้อมกอดฟัง ซึ่งมีโร่ตอบสนองด้วยการกระดิกหูหนึ่งครั้ง
คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันก่อนจะกลั้นใจเปิดบานประตูต้อนรับคนที่ยืนรออยู่พักหนึ่งแล้ว
และ..ใช่ คนนั้นคือเจมี่
เห็นหางคิ้วก็รู้แล้วว่าใคร
“.. หวัดดี”
ทักทายเจ้าของใบหน้าไม่สบอารมณ์ที่กำลังยืนกอดอกด้วยน้ำเสียงออกไปทางประหม่า ดวงตาเรียวสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า(แน่นอนว่าอีกฝ่ายชำเลืองมองมีโร่ด้วย)ทำให้โทบี้ต้องก้มหน้ามองสารรูปตัวเองที่ตอนนี้เรียกได้ว่า…เอ่อ
อยู่ในชุดนอน
“นี่มันสิบโมงแล้ว เพิ่งตื่นรึไง ?”
“ก็ผมอยู่บ้าน พี่จะให้ผมแต่งตัวยังไง”
เขาล่ะอยากตีปากตัวเองแรง ๆ ชะมัดที่โพล่งออกไปไวกว่าความคิด แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ทำเพียงแสดงสีหน้าเรียบนิ่งสู้กับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันหนักกว่าเดิม
“ต่อปากต่อคำ ?”
“ผมแค่ให้เหตุผล”
“โอ้—เชื่อเขาเลย”
ร่างสูงเอ่ยออกมาพร้อมหันหน้าไปทางอื่นคล้ายจะสบถกับตัวเองมากกว่า แต่น้ำเสียงมันดังเกินกว่าจะเรียกแบบนั้นน่ะนะ โทบี้เม้มปาก
“.. นึกว่าพี่จะมาตอนเที่ยงเสียอีก”
เจมี่เลิกคิ้ว มองคนอายุน้อยกว่าที่กำลังหลบสายตาโดยการให้ความสนใจกับสุนัขในอ้อมกอดแทนที่จะเป็นคู่สนทนา
“คุณป้ากำชับว่าให้รีบมาดูแลนาย” เขาแทรกตัวเข้าไปในตัวบ้านหลังถูกปล่อยให้ยืนอยู่เสียนานโดยไร้ซึ่งคำเชื้อเชิญ ดวงตาดุดันจ้องเขม็งเจ้าของเรือนผมสีเข้มที่ผงะก้าวถอยหลังพร้อมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา “เป็นพิเศษ”
“…”
“ไปเปลี่ยนชุด”
โทบี้อ้าปากค้างที่จู่ ๆ ก็โดนออกคำสั่ง เขาไม่มีแพลนว่าจะออกไปไหนในเช้านี้แต่กับอีกฝ่ายน่ะไม่แน่ “แต่ผมไม่ได้จะออกไป—”
“ไปเปลี่ยนชุด”
เมื่อโทนเสียงที่ใช้ถูกเพิ่มระดับขึ้น เด็กหนุ่มจึงรีบวางเพื่อนรักสี่ขาลงบนพื้นก่อนจะรีบก้าวเท้าไว ๆ ขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง
เจมี่หันไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้วจึงก้มมองอีกชีวิตที่อยู่ในบ้าน—ร่างสูงค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าสุนัขที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ โทบี้ที่รู้จักเขามาแต่เล็ก ๆ ทำไมมีโร่ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งนานจะไม่คุ้นเคยกับเขาล่ะ
“น่ารักขึ้นเยอะ”
เอื้อมมือไปเกาแก้มที่อยู่ใต้ขนสีน้ำตาลดำเป็นรางวัลให้เด็กดีและเชื่อฟัง ซึ่งเจ้าตัวจ้อยก็เห่ารับพร้อมหมุนตัวไปมา
“ไม่เห็นเหมือนเจ้าของ ยิ่งโตยิ่งดื้อ”
มีโร่กระดิกหู
มองตามแขกที่ถอดเสื้อนอกพาดไว้บนราวแล้วเดินตามเข้าไปในครัว
##
โทบี้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เสื้อยืดคอปกสีเข้มกับกางเกงขายาวสีครีมที่พับขึ้นมาถึงหน้าแข้ง เหมาะที่จะใส่อยู่บ้าน และไม่น่าเกลียดที่จะใส่ออกไปข้างนอก
นัยน์ตากลมกวาดมองหาเพื่อนสี่ขาและแขกที่ไม่อยากรับเชิญที่ควรจะอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่กลับไร้ซึ่งวี่แวว หางตาเขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวจากห้องข้าง ๆ ซึ่งก็คือครัว จึงหันทิศทางไปยังห้องนั้นทันที
เมื่อก้าวเข้ามา จานสปาเก็ตตี้โง่ ๆ ที่มีควันลอยฉุยก็ถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แน่นอน มันก็แค่อาหารแช่แข็งที่ซื้อมาติดบ้านไว้ สำหรับเวลาแบบนี้โดยเฉพาะ
“พนันห้าเหรียญ นายยังไม่กินอะไรตั้งแต่เช้า”
“เครียดเรื่องพี่จนลืมหาอะไรใส่ท้อง..”
“ว่าไงนะ ?”
โทบี้เลี่ยงที่จะไม่ตอบซ้ำ เขาย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมอุ้มมีโร่ขึ้นมานั่งบนตักเมื่อเพื่อนรักสี่ขาวิ่งตรงมาหาอย่างรู้งาน
แทนที่เจมี่จะนั่งตรงข้ามกับเขา—ตามหลักน่ะนะ อีกฝ่ายกลับมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างเสียอย่างนั้น
เด็กหนุ่มชำเลืองมองคนข้างกายได้แค่ครู่เดียวก็ต้องหลบสายตาเมื่อคนอายุมากกว่าก็มองมาที่เขาเช่นกัน แขนที่ใช้ประคองสลับกับสางขนให้เพื่อนสี่ขาคู่ใจทำให้โทบี้ต้องใช้มือเพียงข้างเดียวในการม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปาก
นอกจากเสียงครางงื้ด ๆ สลับกับเสียงเห่าของมีโร่ และเสียงเป่าควันที่ลอยอยู่เหนือจานอาหารของเขาก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย
จะว่าอึดอัดก็ใช่ แต่การไม่พูดอะไรเลยมันน่าจะดีกว่าการต้องสนทนากับเจมี่ .. โทบี้คิดแบบนั้น
อย่างที่บอก โทบี้ใช้มือเพียงข้างเดียวในการลงมือทานอาหาร เมื่อซอสเลอะที่มุมปากจึงเป็นการยากที่เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่กลางโต๊ะมาเช็ดออก เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการแลบลิ้นเลียมันเสียเลย
และดูท่าว่ามันคงขัดใจเจมี่ไม่น้อย อีกฝ่ายถึงได้ดึงทิชชู่มาเช็ดมุมปากที่เลอะซอสของเขาให้
“เฮอะ—ไม่รู้จักโต”
โทบี้ชะงักทุกการกระทำแล้วหันไปถลึงตาคนที่เพิ่งจะต่อว่าเขาไปหยก ๆ
“ครั้งสุดท้ายที่ร่วมโต๊ะกินข้าวกับนายฉันก็ทำแบบนี้” ว่าพลางขยำทิชชู่ในมือเป็นก้อนแล้วปาลงถังขยะอย่างพอดิบพอดี
“ถ้าพี่จะเลิกเอาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับอดีตได้ล่ะก็ ผมจะดีใจมาก”
เสียงแค่นหัวเราะดัง หึ ลอยออกมาจากชายหนุ่มรุ่นพี่
“บอกว่าวันนี้ไม่คิดจะออกไปไหนใช่มั้ย ?”
“ใช่..ถ้าพี่ไม่คิดจะลากผมออกไปข้างนอกน่ะนะ”
“ไม่ล่ะ เดินทางมาเหนื่อยพอแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน”
คนตัวสูงผุดลุกขึ้นทันทีที่พูดจบจนโทบี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“จะกลับแล้วเหรอ ?”
“อืม”
โทบี้กู่ร้องคำว่า เยส ! ดัง ๆ ภายในหัวเมื่อมองตามร่างคนโตกว่าที่กำลังจะเดินออกจากประตูห้องครัว อีกฝ่ายชะงักเท้าหันมาหาเขาและเอ่ยสิ่งที่ทำให้โทบี้ถึงกับวางส้อมลงพร้อมแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“อ้อ—หมายถึงกลับไปเอากระเป๋าเสื้อ ฉันจะมานอนที่นี่”
ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เห็นใจเขาเท่าที่ควร
ไม่สิ ใจร้ายมาก ๆ เลยต่างหาก
##
“ขอโทษนะ—เผื่อพี่ลืมว่าบ้านเรามีห้องว่างสำหรับรองรับแขก”
คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยเป้ลงพื้นข้างเตียงดังตุ้บ แถมยังขึ้นไปนั่งบนเตียงของเขาแล้วยักคิ้วกวนประสาทให้อีก
“นอนนี่แหละ เตียงกว้างดี”
“แค่ผมกับมีโร่นอนด้วยกันก็เต็มแล้ว”
“ไม่เอาน่า..ฉันนอนด้วยคนได้อยู่แล้ว เนอะ ?”
เจมี่เบนสายตาไปหาเพื่อนสี่ขาที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม มันเห่ารับทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจมี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ใบหน้าน่ารักกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คงเป็นเจมี่เสียมากกว่าที่ยังติดนิสัยอะไรแบบเด็ก ๆ แต่เขาจะไม่ยกมันมาพูดหรอกนะ..คนตัวขาวมองตามอีกฝ่ายที่เอื้อมไปหยิบอัลบั้มภาพถ่ายบนหัวเตียงมาเปิดดูเล่น—มันก็คือภาพถ่ายวัยเด็กของเขาที่สีเริ่มซีดไปแล้วนั่นแหละ ซึ่งโทบี้ไม่ได้ยี่หระที่คนตรงหน้าจะเปิดดู
“เห็นบอกว่าเหนื่อย พี่จะนอนเลยหรือเปล่า ?”
อัลบั้มถูกวางเก็บไว้ที่เดิมพร้อมดวงตาคมที่ชำเลืองมาหาเขา จะว่าไป โทบี้ไม่รู้สึกกลัวสายตาคู่นั้นเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว ออกจะไปทางเบื่อหน่ายเสียมากกว่า เพราะตอนนี้เขาโตเกินกว่าจะก้มหน้าให้อีกฝ่ายคอยดุคอยสอนอะไรต่อมิอะไรเหมือนครั้งวัยเยาว์
เจมี่ยักไหล่พร้อมเอนตัวลงบนที่นอนแทนคำตอบ นั่นทำให้เจ้าของห้องเตรียมเดินออกไปจะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลานอนอันแสนสุขของคนตรงหน้า..ถ้าหากไม่ถูกเรียกไว้เสียก่อน
เขาหันมอง เห็นเจมี่กำลังกวักมือเรียกอยู่ก็เลยเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เผื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องการอะไรเพิ่มเติม
“มาเป็นหมอนข้างให้หน่อย”
..
“ห๊ะ !”
เด็กหนุ่มตาโต ร้องเสียงดังจนใบหูทั้งสองของเพื่อนสี่ขาตั้งขึ้น
“อะไรล่ะ ?” โทบี้อ้ำอึ้ง ก่อนจะขมวดคิ้ว มือเรียวข้างหนึ่งผละออกมาลูบใบหน้าของตัวเองและตั้งคำถามว่าเมื่อครู่ไม่ได้หูแว่วไปเองใช่หรือไม่
“พี่ยังไม่โตรึไง”
“ทีตอนเด็กนายยังขอให้พี่กอดเวลานอนด้วยกันเลย”
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอีกรอบ—อะไรของหมอนี่วะ .. โทบี้ไม่แน่ใจว่ารุ่นพี่ที่นอนอยู่เบื้องหน้ามีแผนจะเล่นตลกอะไรหรือเปล่า แต่ไอ้ท่าทางที่ดูไม่ยี่หระนั่นก็อ่านยากเกินไป
“เร็ว”
“โอ้—ขอปฏิเสธ ผมเพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ใจคอพี่จะให้ผมนอนต่อเหรอ ? พี่คิดว่าผมจะหลับลงเหรอ ?”
เขาคาดหวังที่จะได้คำตอบดี ๆ หรือการไล่ให้ออกไปด้วยท่าทีรำคาญแต่—
“ต้องให้ไปอุ้มไหม ?”
เชื่อสิ เจมี่ทำอย่างที่พูดแน่
เขากลอกตารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันจนตาขาวแทบจะเหลือกกลับเข้าไปด้านใน คนตัวขาวย้ายร่างมาที่ข้างเตียงก่อนจะนั่งหันหลังให้อีกฝ่าย
“นายคงต้องนอนข้างล่าง”
เอ่ยเสียงเบากับเพื่อนสนิทในอ้อมแขน เมื่อได้รับการกระดิกหูตอบรับเด็กหนุ่มจึงปล่อยให้เพื่อนสี่ขาโผออกจากอ้อมแขนไปอย่างง่ายดาย เป็นจังหวะเดียวกับแขนแกร่งที่เอื้อมมาคว้าเอวเขาให้หงายลงไปนอน
โทบี้ยังคงหันหลังให้คนโตกว่า ท่อนแขนที่รวบเอวเล็กไว้แน่นในทีแรกค่อย ๆ คลายออก แต่แทนที่ด้วยการขยับร่างมาจนชิดแผ่นหลังบอบบางพร้อมคางที่เคยอยู่ตรงลาดไหล่
“เจมี่..นี่มันใกล้ไป”
กล่าวกับคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว ไม่กล้าหันไปหาเพราะกลัวส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าจะเฉียดเข้ากับจมูกโด่งของอีกฝ่าย
“ตอนเด็ก ๆ นายแทบจะมุดอกฉันแล้วด้วยซ้ำ เผื่อนายลืม”
โทบี้อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะกล่าวแย้ง
“ผมพูดจริง ๆ นะ..มันจะดีมากถ้าพี่เลิก—”
“ทำไมคนเราจะพูดเรื่องดี ๆ ในอดีตไม่ได้ล่ะ”
“…”
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”
“…”
“นอนเถอะ วันนี้ฉันไม่มีแรงเถียงกับเด็กดื้อแบบนาย”
สิ้นเสียง ร่างสูงจึงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุดก่อนจะปิดเปลือกตาหลังสู้กับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืด ผิดกับโทบี้ที่ยังลืมตาอยู่
เรื่องดี ๆ งั้นเหรอ ? โทบี้กะพริบตาปริบ ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะราวกับตกเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว—ไม่ใช่ว่าเขาจะเขินอายในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ ..
มันดีมาก ๆ เลยล่ะที่อีกฝ่ายมองว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็น’เรื่องที่ดี’ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าเจมี่จะไม่ชอบความทรงจำในวัยเด็กที่มีร่วมกับเขาเสียอีก เท่าที่จำความได้ มันมีแต่ใบหน้าดุ ๆ ของเจมี่กับเสียงร้องไห้โยเยของเขาเต็มไปหมด
พอรู้แบบนี้แล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ .. อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเจมี่ไม่ได้เกลียดเขาเสียทีเดียว
แต่ยังยืนยันคำเดิม
เจมี่น่ะ ชอบดุใส่เขา(แค่คนเดียว) !
##
โทบี้ไม่พบร่างของใครอีกคนในเช้าวันใหม่ เขาคาดการณ์กับตัวเองว่าเจมี่อาจจะอยู่ที่ห้องครัว เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป—มันคงจะดีกว่าถ้ารีบจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนที่จะโดนไล่ในภายหลัง
เมื่อวาน พวกเราหมดเวลาไปกับการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงพร้อมหนังสือหลายเล่มที่หยิบออกมาจากชั้นวาง มื้อเย็นยังคงเป็นอาหารแช่แข็งที่ซื้อมาติดตู้เย็นไว้เหมือนเดิม ระหว่างนั้นเด็กและชายหนุ่มสองคนยังมีประเด็นมาถกเถียงกันอยู่เป็นระยะ แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องเกิดอาการง้องอนใส่กัน
เสื้อยืดสีดำตัวใหญ่กับกางเกงวอร์มเป็นตัวเลือกที่สิ้นคิดมาก ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะหยิบมันมาใส่ โทบี้ยืนอยู่หน้ากระจกครู่หนึ่งแล้วใช้มือสางเส้นผมตัวเองให้เข้าที่แทนการใช้หวีที่วางแอ้งแม้งไว้ที่เดิม
เมื่อเดินเข้ามาในครัวก็เห็นเจมี่ยกกระทะออกจากเตาพอดี อีกฝ่ายแต่งตัวแทบไม่ต่างจากเขาแค่เปลี่ยนกางเกงวอร์มเป็นกางเกงยีนส์ แต่กลับดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ—พระเจ้า นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด
“มานี่”
คนโตกว่าพยักเพยิดหน้าให้เขามานั่งรออยู่ที่โต๊ะ ถึงเจมี่จะจัดการเรื่องอาหารการกินให้กับเขาถึงสองวัน แต่เชื่อเถอะ เจมี่ไม่ได้เก่งเรื่องในครัวมากขนาดนั้น
ไข่ดาว ไส้กรอก เบค่อน และขนมปังปิ้งทาเนย ใคร ๆ ก็ทำได้
“ออกไปซื้อมาเหรอ”
“อืม..เราคงไม่กินอาหารพวกนั้นทั้งอาทิตย์แน่ ๆ”
โทบี้ยักไหล่ ก็จริงอย่างที่ว่า
เสียงเห่าดังขึ้นหนึ่งครั้งตามด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงมาหา คนตัวผอมรีบก้มไปรับเพื่อนสี่ขาขึ้นมากอดไว้เต็มรักเป็นครั้งแรกของวัน
เสียงหัวเราะคิกคักกับการพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียวโดยที่เจ้าหน้าขนไม่มีทางเข้าใจล้วนอยู่ในสายตาของชายหนุ่มรุ่นพี่ทั้งหมด คิ้วเรียวเลิกขึ้น พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับภาพตรงหน้า
น้ำส้มเป็นตัวเลือกที่ดี เจมี่คิดอย่างนั้น เขาวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะอาหารแล้วเคลื่อนตัวมานั่งตำแหน่งเดียวกับเมื่อวานนี้
โทบี้ต้องใช้มือข้างเดียวในการจัดการมื้อเช้าอีกแล้วเพราะเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยมีโร่ออกห่างตัว
ท่าทางเงอะงะในการพยายามใช้ส้อมเขี่ยเบค่อนให้พับกันเป็นชั้น ๆ ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง เจมี่ละความสนใจจากมื้อเช้าของตัวเองไปหั่นทุกอย่างที่อยู่ในจานของโทบี้ให้มีขนาดพอดีคำ โดยเจ้าตัวก็ยอมวางส้อมไว้แล้วหยิบขนมปังขึ้นมากัดแทน
มื้อเช้าของเขาไม่ได้ทุลักทุเลอย่างที่คิด เพราะมีเจมี่ช่วยเหลือในตอนแรก มือขาวสางเส้นขนสีเข้มของเพื่อนตัวน้อยที่นั่งลิ้นห้อยอยู่บนตัก สายตาของเขาจับจ้องไปยังเจมี่ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนจานออก
“ทำไมพี่ถึงยอมมาง่ายจัง”
เจมี่หันมามองเขาครู่หนึ่ง—ครู่เดียวเท่านั้น
“เป็นนายจะปล่อยบ้านทิ้งไว้ทั้งอาทิตย์—”
“ไม่ อันนั้นผมรู้ แต่หมายถึง..ทำไมพี่ถึงตอบรับง่ายจัง แค่คุณป้าไหว้วานพี่ก็มาเลยเหรอ” เจมี่เก็บจานเข้าที่เดิม หันมาหาเขา
“นั่นป้าฉันนะ”
กลอกตาครั้งที่หนึ่ง
“ผมรู้ .. แต่ น้องชายพี่น่ะ ?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แซม ?”
“นั่นแหละ ! ใช่เลย .. ทำไมเขาไม่มาแทนล่ะ ?”
“หมอนั่นติดเพื่อน คงไม่อยากมาติดแหง็กอยู่คนเดียวที่นี่หรอก หมอนั่นไม่สนิทกับนาย ถูกไหม ?”
โทบี้กลอกตารอบที่สอง “แล้วพี่ไม่มีธุระของตัวเองเหรอ ?”
“มี”
โทบี้เลิกคิ้ว
“แต่มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก”
เจมี่หันกลับไป คว้าขวดน้ำในตู้เย็นขึ้นมากระดกเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง เด็กหนุ่มคิดจะถามอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยแต่อีกฝ่ายกับพูดขึ้นมาก่อน
“ที่สำคัญกว่าน่ะ”
“…”
“อยากมาดูว่าเด็กแถวนี้โตรึยัง”
“…”
“ตอนแรกคิดว่าคงน่ารัก—แต่เปล่า ก็ดื้อเหมือนเดิม”
##
“มีโร่ มานี่เร็ว”
เวลาแค่ห้านาทีเท่านั่นที่โทบี้จะยอมปล่อยเพื่อนหน้าขนลงไปเดินเล่น เขาหยิบขวดน้ำและสิ่งของจำเป็นลงในกระเป๋าเป้ใบเล็ก เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเขาไม่ลืมอะไรจึงเหวี่ยงกระเป๋าไปสะพายไว้ด้านหลังแล้วลงไปนั่งยอง ๆ รอเพื่อนสนิทโผเข้าหา
เจมี่ยืนพิงขอบประตูมองคนอายุน้อยกว่าที่เอาแต่พูดอะไรงุบงิบอยู่เดียวครู่ใหญ่กว่าจะยอมเดินตรงมาหาเขา—โทบี้บอกว่าทุกเช้าจะพามีโร่ไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกล แต่วันนี้ผิดแผนไปหน่อยเลยต้องออกไปวิ่งช่วงสายแบบนี้ เขาก็เลยจะตามไปดูแล
“พี่จะไปไหน ?”
โทบี้ร้องทักเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงก้าวฉับ ๆ ออกจากรั้วเตรียมเลี้ยวเข้าไปยังบ้านที่สร้างอยู่ติดกัน
“ไปเอารถ”
“หา ?”
“เราจะไม่เดินไปใช่ไหม ?”
“ใช่ ..”
“ถ้างั้น ฉันจะไปเอารถ เราจะได้ไปที่สวนสาธารณะกัน..มีอะไรอีกไหม ?”
“พี่จะเอารถอะไรมา”
คราวนี้เป็นเจ้าของใบหน้าดุดันที่กลอกตาให้กับคำถามที่หลุดออกมาจากเรียวปากน่ารัก
“มอ’ไซค์”
“มีตะกร้าหน้ารถไหม ?”
“ไม่มี”
“งั้นไม่ไป !”
รูปคิ้วที่เคยยกขึ้นขมวดเข้าหากันทันทีเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมทำหน้าตกอกตกใจ
“ไหนบอกว่าจะไม่เดิน ? ถ้าไม่นั่งมอ’ไซค์ฉันไปแล้วจะไปยังไง”
โทบี้ชี้นิ้วไปยังจักรยานที่ถูกวางพักไว้ใกล้ ๆ พุ่มไม้ประดับรั้ว พูดตามตรง เขาไม่ทันสังเกตเลยว่ามีมันอยู่ตรงนั้น เจมี่หันกลับมาหาคนตัวขาวอีกครั้ง อีกฝ่ายเองก็จ้องเขากลับมาเหมือนกัน และยังยกมือค้างไว้เหมือนเดิมคล้ายจะยืนยันในสิ่งที่คิด
“โอ้—พระเจ้า”
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องไปเข็นจักรยานคันนั้นออกมาที่หน้าบ้าน โทบี้ยอมตกลงที่จะไม่สวมหมวกกันน็อคเพราะเขาให้เหตุผลว่ามันเกะกะ แต่ให้ข้อแม้ว่า พวกเขาไม่ใส่ แต่มีโร่ต้องใส่ !
“นั่งดี ๆ นะ อย่าทำหลุดล่ะ ไม่งั้นจะเกิดอันตราย”
หลังหย่อนเพื่อนสี่ขาลงกับตะกร้าด้านหน้าพร้อมใส่หมวกให้เสร็จสรรพ โทบี้กระซิบกระซาบด้วยใบหน้าจริงจังถึงแม้ว่าเพื่อนหน้าขนของเขาจะหันมองซ้ายขวาไม่ได้สนใจเลยก็ตาม
โทบี้รีบเหวี่ยงตัวขึ้นไปซ้อนเบาะหลังแล้วจับชายเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ขอรับหน้าที่เป็นคนขับแทน
จากหนุ่มบิดมอเตอร์ไซค์ต้องมาปั่นจักรยานเนี่ยนะ ? ถ้าคนรู้จักมาเห็นคงขำจนฟันร่วง..แต่มันก็ดูดีกว่าการนั่งซ้อนเด็กหน้าขาวนี่ล่ะนะ
พวกเขาเคลื่อนที่ออกจากตัวบ้านตามด้วยเสียงเห่าโฮ่ง ๆ ทักทายพุ่มไม้ ใบไม้ของมีโร่ แต่คนที่ตอบรับกลับเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังนี่สิ
ให้ตายเถอะ ไม่อายสายตาชาวบ้านรึยังไงนะ ?
ถ้าถามเจมี่ ..
ไม่ล่ะ
ก็เสียงหัวเราะของโทบี้มันน่ารักเสียจนเขาหุบยิ้มไม่ลงน่ะสิ
##
“ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้”
โทบี้เงยหน้าขึ้นจากการพับขากางเกงขึ้นให้สะดวกกับการวิ่ง ข้างตัวเขาคือมีโร่ที่กำลังวิ่งวนอยู่กับที่เพราะตื่นเต้นเต็มทนที่จะได้วิ่งเล่นเสียที—เจมี่หย่อนตัวที่ม้านั่งฝั่งเดียวกับจักรยานที่ถูกวางพิงต้นไม้ ร่มเงาด้านบนพอจะบดบังแสงแดดให้เขาระหว่างใช้เวลานับสิบนาทีในการรอเด็กหนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัววิ่งรอบสวนสาธารณะ
“อื้อ .. มีรถขายฮอตด็อกอยู่ตรงนั้น เผื่อพี่จะอยากได้อะไรรองท้อง” เขาพยักเพยิดหน้าไปยังพื้นที่ที่เยื้องไปเบื้องหน้า มีรถขายฮอตด็อกและไอศกรีมจอดอยู่ตรงนั้น
“นายมากกว่าที่อยากได้อะไรแก้หิวหลังวิ่งเสร็จ”
โทบี้หัวเราะ—ครั้งนี้เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกลับไป คนตัวขาวที่ผิวดูผ่องกว่าเดิมเมื่อต้องแสงแดดผุดลุกขึ้น กระโดดเหยง ๆ อยู่กับที่พร้อมผิวปากเรียกเพื่อนหน้าขนให้วิ่งมาเตรียมตัวอยู่เบื้องหน้าเขา
“ถ้าพี่จะใจดีเลี้ยงผมล่ะก็นะ”
สิ้นเสียง สองร่างก็ออกตัววิ่งไกลออกไป
เสียงเห่าโทนแหลมคุ้นหูทำให้ดวงหน้าคมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ โทบี้วิ่งเหยาะแหยะมาอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะก้มหน้าลงไป จับต้นขาตัวเอง และโกยอากาศเข้าปอด ส่วนมีโร่ก็ลงไปนอนใช้แผ่นหลังชื้น ๆ ถูกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
ขวดน้ำถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้ที่อยู่บนตัก โทบี้เหนื่อยเกินกว่าจะพูดขอบคุณที่อีกฝ่ายเปิดขวดน้ำให้ก่อนจะยื่นมาทางเขา ยกขวดน้ำขึ้นกระดกไม่กี่อึกก็พร่องไปกว่าครึ่ง
แขนเสื้อถูกใช้แทนผ้าเช็ดหน้าโดยไม่กลัวว่ามันจะเปรอะเปื้อน ซึ่งนั่นก็เป็นนิสัยทั่วไปของเด็กผู้ชายล่ะนะ
“สดชื่นมั้ย ?”
“ยอดเยี่ยมเลยล่ะ” เขาสูดหายใจลึกก่อนตอบ “พี่น่าจะวิ่งด้วย”
เจมี่ส่ายหน้า มองเด็กหนุ่มที่พยายามใช้มือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าและลำคอออก เขากวักมือเรียก เปิดกระเป๋าและหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา
เขาใช้มันซับตามใบหน้าชื้นเหงื่อ เจมี่ไม่ใช่ผู้ชายมือเบาดังนั้นโทบี้เลยต้องหลับตาเมื่ออีกฝ่ายกดแรงลงมา
ใบหน้าของอีกฝ่ายดูมีเลือดฝาดชัดเจนในเวลานี้ แก้มขาวเจือสีแดงดูเปล่งปลั่งน่ารักจนไม่อยากละสายตา
“เอ้า เรียบร้อย”
ทำได้แค่คิดนั่นแหละ
โทบี้ผงกหัวแทนคำขอบคุณแล้วยกขวดน้ำขึ้นกระดก
“วิ่งเสร็จแล้วไปไหนต่อ ?”
คนตัวขาวยักไหล่ ถ้าเขาอยู่คนเดียว—และนี่เป็นตอนเช้า คงจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วลงมานั่งแช่หน้าโทรทัศน์กลางห้องนั่งเล่นจนถึงเย็น
แต่เพราะมันไม่ใช่ เขาเลยนึกไม่ออกว่าจะต้องทำอะไรหลังจากนี้
“ปกติก็กลับบ้าน .. พี่อยากทำอะไรก่อนไหมล่ะ ?”
เจมี่พยายามนึก แต่เรื่องเดียวที่นึกถึงคงเป็นเรื่องอาหารการกิน เมื่อเช้านี้เขาแค่ออกไปที่ร้านสะดวกซื้อ หาอะไรก็ได้ที่พอจะทำเป็นมื้อเช้า(สาย)และมื้อเที่ยงให้เด็กตรงหน้า ถ้าอย่างนั้น—คงจะพาอีกฝ่ายแวะไปที่ห้างเล็ก ๆ ที่ขี่จักรยานผ่านเพื่อซื้ออะไรก็ได้ตุนไว้สำหรับทำอาหารสัก 2-3 วัน เรื่องเสื้อผ้าน่ะเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน
เขายอมรับ เขามาที่นี่เพื่อ’ดูแล’เจ้าหนูนี่ ซึ่งเขาไม่ได้เตรียมพร้อมว่าจะต้องพาอีกฝ่ายไปไหนมาไหน นี่ไม่ใช่ถิ่นอาศัยเขาเสียหน่อย..ก็แค่ เคยเป็น
“ซื้อของติดตู้เย็น เมื่อเช้าฉันซื้อมาเท่าที่นายเห็น”
“โอ้..เยี่ยมเลย ผมจะได้ซื้อขนมกลับไปด้วย และ— พี่ไม่ต้องพยายามนึกว่าจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน ผมมีความสุขกับการนอนดูซีรี่ย์โง่ ๆ อยู่ที่บ้าน”
โทบี้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ มือกร้านเอื้อมไปยีกลุ่มผมชื้นเหงื่อด้วยความรู้สึกมันเขี้ยวระคนเอ็นดู
ไม่ใช่เด็กเกเรแท้ ๆ แต่เพราะระบบความคิดแบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยคบหากับใครนัก เจมี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกจากเพื่อนสี่ขาหน้าขนตัวนี้ โทบี้มีเพื่อนสนิทกี่คน ?
“มาเร็ว”
คนโตกว่าเอ่ยขึ้นระหว่างเคลื่อนจักรยานคันเก่าออกมาจากที่ตั้ง มีโร่ถูกคว้าไปไว้ในอ้อมแขนแล้วหย่อนลงไปในตะกร้าหน้ารถเหมือนขามา ตามด้วยเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปซ้อนท้าย
“กอดแน่น ๆ ล่ะ”
“พี่ซิ่งไม่ได้สักหน่อย”
มือขาวที่เคยจับอยู่ตรงชายเสื้อ เปลี่ยนไปกอดรอบเอวนั้นแทน
##
โทบี้ถูกสั่งให้ขึ้นไปอาบน้ำหลังกลับถึงบ้าน ใช้เวลาไม่นานในการเลือกซื้อของมาติดบ้านไว้สักสองถึงสามวัน แต่เราหมดเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงไปกับการเลือกซื้อขนมของโทบี้ การได้เห็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีพูดเจื้อยแจ้วขณะหยิบนู่นนี่ลงรถเข็นทำให้เขาไม่อยากขัดอะไร และนั่นเป็นเหตุให้เราต้องมองหน้ากันหลังจ่ายเงิน
เพราะ—ถุงที่พะรุงพะรังไปหมดจนเกือบนึกว่าจะขี่จักรยานกลับมาไม่ได้เสียแล้ว
เพิ่งจะเลยเที่ยงมาได้ไม่นานแท้ ๆ แต่โทบี้กลับวิ่งลงบันไดมาด้วยชุดนอน รอบนี้เขาเจอเจมี่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น—ไม่ใช่ในครัวอย่างที่ควรจะเป็น
มื้อเที่ยงสำหรับสองคนและขนบขบเคี้ยวถูกวางไว้บนโต๊ะกระจกเตี้ย ๆ ที่วางไว้หน้าโซฟา แน่นอน เจมี่ไม่ลืมมื้อเที่ยงของมีโร่ โดยจัดแจงวางไว้ที่พรมใกล้กัน
มือขาวหยิบแผ่นมันฝรั่งใส่ปากระหว่างเชื่อมต่อโทรทัศน์เข้ากับสมาร์ทบ็อกซ์เพื่อหาซีรีย์ดูระหว่างมื้ออาหาร พอหันกลับไปก็เห็นเจ้าของกลุ่มผมยาว ๆ จ้องกลับมาด้วยสายตาดุ ๆ
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องมันฝรั่งที่อยู่ในมือนี่ล่ะมั้ง
มื้อเที่ยงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ย่างเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว โดยที่พวกเขายังนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม ดูซีรีย์เรื่องเดิม ต่างแค่ของว่างที่ไม่เหมือนเดิม
เวลาร่วมหกชั่วโมงหมดไปกับการถกเถียงเกี่ยวกับคนร้ายตัวจริงในซีรีย์ที่พวกเขากำลังดูอยู่ ต่างคนต่างเดาตัวละครออกมาไม่เหมือนกันโดยยกเหตุผล แรงจูงใจ และความเป็นไปได้ขึ้นมากล่าวอ้างจนต้องชักสีหน้าใส่กันหลายครั้งเพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน
สุดท้ายคนร้ายที่ถูกวางไว้ก็ถูกเปิดเผย แน่นอนว่าไม่ใช่หนึ่งในสองที่พวกเขาคาดเดาไว้
เลยทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนไปดูเรื่องอะไรก็ได้เพื่อกลบบรรยากาศมึนตึงที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
โทบี้เปิดไปเจอซีรีย์รักวัยเรียน ซึ่งเขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมาจะเป็นไปในทางไหน ในหัวเขานึกถึงแต่เรื่องการโต้เถียงร่วมชั่วโมงอันสูญเปล่า
จะบอกว่า’งอน’ก็ใช่—แต่นี่มันไร้สาระมาก ๆ และเจมี่ก็ไม่ได้ผิดที่คิดอย่างนั้น เชื่อเถอะ เจมี่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกับเขา
“ผิดคาดเลย .. ว่าไหม”
เจ้าของเรือนผมสีอ่อนเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แม้ดวงตาดุดันคู่นั้นจะจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าแต่เขาไม่ได้ยินเสียงบทพลอดรักที่ออกมาจากนักเรียนหนุ่มสาวในจอสี่เหลี่ยมนั่นเลย..โทบี้ก็เช่นกัน
“ก็.. เรื่องปกติของหนังแนวนี้”
โทบี้ก้มหน้าลง เล่นกับนิ้วเรียวของตัวเองพลางลอบมองใบหน้าของคนที่อยู่ด้านข้าง—อีกฝ่ายยังคงจ้องไปยังเบื้องหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่าเจมี่ไม่ได้ให้ความสนใจกับภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นเลย
นัยน์ตาสีฟ้าครามหลุบลงมาอีกนิด เพิ่งสังเกตว่าทั้งคู่นั่งใกล้กันมากจนหัวไหล่ชนกันโดยไม่ทันจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ
โอเค—โทบี้ยอมรับ เขากำลังงอน..แต่ก็ไม่ได้จะ’ง้อ’คนอายุมากกว่าด้วยเหมือนกัน ก็แค่จะเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลของอีกฝ่ายให้กลับมาด้วยการเอนศีรษะพิงไหล่กว้าง
แค่นั้นจริง ๆ
ซึ่งเจมี่เองก็ตอบสนองด้วยการพาดแขนไว้ที่โซฟาแต่หักข้อมือมาวางแนบที่หัวไหล่ของอีกคน
“เรื่องนี้น่าเบื่อชะมัด เปลี่ยนเถอะ”
เด็กหนุ่มขานรับ เปลี่ยนไปดูซีรี่ย์เรื่องอื่นอย่างว่าง่าย—แต่ไม่ใช่เพราะมันน่าเบื่อ
แต่เป็นเพราะพระนางเริ่มที่จะจูบปากกันแล้วต่างหาก
สุดท้ายพวกเขาก็ลงเอยด้วยซีรี่ย์คอเมดี้เรื่องหนึ่งในเย็นวันนั้น แน่นอนว่ามีโร่ก็ขอขึ้นมานั่งตักของเจ้าของเพื่อรับชมด้วยเช่นกัน
♡♡♡♡♡