ROV

[ROV] H I M | NAKROTHMURAD

Title : H I M

Pairing : Nakroth × Murad

Rate : PG15

Note : เป็น AU ค่ะ เกี่ยวกับทหารในโลกอนาคต และการต่อสู้กับเอเลี่ยนและปิศาจที่เป็นภัยคุกคาม นึกอิมเมจสองคนในสกินอีโวนะคะ แหะ แหะ

 


 

(เพิ่มเติม…)

[ROV] Torture | AzzenkaMurad

Title: Torture

Pairing: Azzen’Ka x Murad

Category: Yaoi , Hurt/Comfort? , NSFW

Rate: R-18

Note: ภาคต่อของ Revenge ค่ะ แน่นอนว่าจินตนาการขึ้นมาเอง ฮา ..

 

 

 


 

(เพิ่มเติม…)

[ROV] Revenge | AzzenkaMurad

Title: Revenge

Pairing: Azzen’Ka x Murad

Category: Yaoi , Hurt/Comfort?

Rate: PG-13

Note: อิงมาจากเนื้อเรื่องของทั้งคู่ค่ะ .. แหะ

 

 


 

 

 

          ฉึบ ..

 

สิ้นเสียงพร้อมกับโลหะที่ประกายแสงจากดวงจันทร์หายวับไปโดยไม่ทันตั้งตัว อสูรกายทรายในรูปร่างสุนัขแสนดุร้ายที่ถูกสร้างขึ้นมาเฝ้าล้อมรอบปราสาทดั่งองครักษ์ก็ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นทันที ส่วนหัวและตัวที่ถูกตัดแยกออกจากกันค่อย ๆ สลายกลายเป็นเม็ดทรายหลอมรวมไปกับพื้น ก่อนที่ร่างในเงามืดจะขยับออกมา

 

เสียงฝีเท้าดังตึงตังแว่วมาจากด้านหลัง ร่างเพรียวหันกลับไปพร้อมตวัดอาวุธในมือของตนบั่นคอปิศาจที่กำลังจู่โจมเขาจนขาดเป็นสองส่วน และแน่นอน ร่างกายของมันสลายไปไม่ต่างจากปิศาจตัวเมื่อครู่

 

 

          ช่างง่ายดายนัก ..

 

          มูราจพึมพำเบา ๆ ในห้วงความคิดของตนก่อนจะแทรกตัวเองหายไปกับเงามืด จากนั้นจึงเริ่มลงมือสังหารองครักษ์ที่จอมราชันย์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันผู้บุกรุกอาณาเขตของตนเอง ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่มากมายผนวกกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเขา ทำให้การบุกรุกและสังหารเหล่าปิศาจพวกนี้ไม่ยากเย็นนัก

 

นัยน์ตาสีฟ้ายังคงส่องประกายแม้มีแสงจันทร์เพียงน้อยนิดที่สาดเข้ามาในตัวปราสาท ภายในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแก้แค้น .. หรืออาจจะเป็น สะสางเรื่องที่มันยังค้างคามานานนับหลายปี

 

หลายปี .. หลายปีแล้วที่ต้องทิ้งชื่อเจ้าชายแห่งอาณาจักรที่บิดาตนปกครองมาเป็นเพียงนายพรานเร่ร่อนที่เคลื่อนย้ายตัวเองไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อหลบหนีการตามล่า และศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ มากมายตลอดเวลาที่ผ่านมา .. เพียงคนเดียว

 

เหตุเพราะการถูกหลอกใช้มาอย่างยาวนานและจบด้วยการรุกรานของจอมราชันย์ปิศาจทราย ทำให้ท้ายที่สุด อาณาจักรของเขาก็ล่มสลายด้วยน้ำมือของมัน .. และตัวเขาเช่นกัน

 

ด้วยพลังของอาวุธที่เคยปกครองเหล่าราษฎรได้ เมื่อมันถูกใช้งานเกินจนปริแตกและไม่อาจะควบคุมได้ ทำให้มันปกป้องเขาได้จากการถล่มของขุมพลัง

 

เพียงคนเดียว

 

 

ผู้คนทั้งอาณาจักร .. ล้มตายในเวลาไม่กี่อึดใจ

 

หากเป็นผู้อื่นที่รอดมาอาจจะคร่ำครวญสติแตกไปแล้ว แต่เพราะเขาที่ดันไปอยู่ในเหตุการณ์ .. และรับรู้ถึงแผนการของจอมราชันย์ก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเพียงครู่เดียว ทำให้ทั้งหัวใจเขาบีบรัดและเต็มไปด้วยความแค้น เขาจะต้องทวงคืนทุกอย่างที่ปิศาจสารเลวนั่นเคยพรากจากเขาไป

 

แม้จะเสียใจกับการสูญเสียราษฎรอันเป็นที่รัก และครอบครัว ..

 

แต่เขาจะต้องแก้แค้นและทำให้อาณาจักรของเขากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง มันจะต้องไม่จบลงเพียงเท่านี้ !

 

 

          มูราจใช้ปลายนิ้วปาดเอาเม็ดทรายบางส่วนที่เฉียดติดข้างแก้มเขาจนเป็นแผลเล็ก ๆ ออกไป เนื่องจากการจู่โจมของปิศาจหลายตนที่เข้ามารุมล้อม .. ต่อให้เขาชนะมันได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีแผลกลับคืนมา

 

แม้มันจะทำให้เกิดอาการแสบเล็ก ๆ แต่เขาก็ไม่สน มูราจยืดตัวตรงแล้วย่ำเท้าตรงไปตามทางโถงด้วยท่าทางที่ดูสง่าสมกับชื่อเจ้าชายแห่งราชอาณาจักร ณ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแล้ว องครักษ์พวกนั้นตายหมดแล้ว และแน่นอนว่าจอมราชันย์ต้องรับรู้ถึงการมาเยือนของเขา

 

รอบข้างเงียบสงัด เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงฝีเท้าของมูราจเอง หน้าต่างอิฐที่ถูกสร้างตกแต่งตัวปราสาททำให้แสงจันทร์ด้านนอกสาดเข้ามาเพื่อเป็นสิ่งนำทางให้เขา

 

ทว่า .. ข้างหน้าจะไม่มีหน้าต่างอีกแล้ว .. มันไม่มีแสง เป็นเพียงทางมืด ๆ ที่เขาต้องเดินเข้าไปเอง มูราจหยุดยืนอยู่ตรงที่จุดแสงสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง .. เขาไม่มีวันหันหลังกลับ เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาตั้งหลายปี เขาจะไม่แพ้ และทุกอย่างจะต้องจบลงในคืนนี้

 

และเมื่อร่างโปร่งก้าวเท้าเข้าไปในความมืดมิด .. นั่นคือการประกาศว่าเขามาที่นี่เพื่อสังหารเจ้าปิศาจทราย

 

.

.

.

 

          หลังจากย้ายร่างตัวเองออกมาจากแสงจันทร์ที่สามารถปกป้องเขาได้ .. บัดนี้เขายังคงปลอดภัยแม้อยู่ในเงามืด มูราจหรี่ตาลงเมื่อทางเลี้ยวข้างหน้ามีแสงนวล ๆ ส่องออกมาจากห้องด้านใน ถึงแล้วสินะ

 

เขาชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาที่ทอประกายอ่อนลง .. ก่อนจะเดินเข้าไปเพื่อประจันหน้ากับปิศาจที่กำลังรอการมาเยือนของเขาอยู่

 

 

          “รนหาที่ตายก่อนวัยอันควรนัก ..”

 

 

เสียงทุ้มแหบแต่เปี่ยมไปด้วยพลังเอ่ยทักทายเป็นสิ่งแรก ด้วยประโยคที่ดูไม่รื่นหูนัก .. ร่างของจอมราชันย์นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงที่อยู่สุดห้องโถงใหญ่นี้ แต่มูราจมิได้เกรงกลัวต่ออำนาจของอีกฝ้ายแม้เพียงน้อยนิด และยังคงก้าวเดินต่อไปด้วยท่าทางที่ติดจะยียวน ราวกับว่าเขาเพียงมาเดินชมนกชมไม้

 

 

          “แต่ข้าว่า ..” เขากล่าวท้าทาย “มันถึงเวลาตายของเจ้าแล้วนะ”

 

 

ริมฝีปากบางใต้ผ้าคาดสีดำแย้มยิ้ม พร้อมหยุดฝีเท้าอยู่ใต้โคมระย้ากลางห้องโถง ดวงตาสีฟ้าจ้องตรงไปยังปิศาจทรายที่ไร้ซึ่งรูปกาย ถึงกระนั้นท่าทางของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็ดูทระนงและอวดดีนัก

 

 

          “น่าผิดหวัง ..” ปิศาจร้ายพึมพำ

 

          “โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นไม่ช่วยให้เจ้าสำนึกได้เลยรึ .. ว่าไม่ควรกลับมาเหยียบพื้นที่แห่งนี้อีก .. หรือถ้าไม่อย่างนั้น ..”

 

          “เจ้าก็ควรจะเตรียมตัวมาให้พร้อมกว่านี้ .. หาใช่เอาชีวิตตัวเองมาทิ้งโดยไร้ความหมาย”

 

 

มูราจนิ่งเงียบ .. ริมฝีปากที่เคยแย้มยิ้มแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดตรงพร้อมกับฝ่ามือทั้งสองข้างที่กำหมัดเข้าหากันแน่น ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็ไม่เคยพอใจกับวาจาเหยียดหยามและดูแคลนของอีกฝ่ายสักที ไม่ว่าจะในอดีต หรือแม้แต่ตอนนี้

 

ทำไม

 

ข้าอ่อนแอกว่าเจ้าตรงไหนกัน ?

 

 

          “มันจะต้องไม่ไร้ความหมาย อาณาจักรของข้าจะกลับมารุ่งโรจน์หลังผ่านพ้นคืนนี้ไป”

 

          “ก็แค่วาจาของเด็กน้อย .. อาวุธของเจ้ายังไม่ทันกลับมาสภาพสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ .. พูดให้ถูกคือมันไม่มีวันกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง”

 

          “..”

 

          “แม้ครั้งหนึ่งมันจะช่วยให้เจ้ารอดชีวิตไปได้ .. แต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง

 

 

สิ้นเสียงของปิศาจ ร่างโปร่งบางที่ยืนอยู่กลางโถงพลันหายไปจากสายตาในทันทีก่อนจะปรากฏตัวให้เห็นในระยะที่ใกล้เคียง .. ปิศาจทรายรู้ดี อดีตเจ้าชายยัวะง่ายกับคำพูดของเขาตั้งแต่ในอดีต .. แม้จะเติบโตได้ถึงเพียงนี้ แต่นิสัยเก่า ๆ ของอีกฝ่ายก็มิได้เปลี่ยนไปเลย

 

 

          แอซเซนก้าเบี่ยงตัวหลบด้วยความรวดเร็วเช่นกัน จากที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ บัดนี้เขายืนเหยียดตัวตรงอยู่ตรงขั้นบันไดที่ห่างออกมา มูราจเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนจะม้วนตัวกลับแล้วพุ่งเข้ามาใกล้พร้อมตวัดอาวุธในมือ ปิศาจทรายถอยหนีแต่ปลายมีดคมกริบสามารถตวัดมาโดนชายผ้าคลุมศีรษะของเขาจนเกิดรอยขาดได้ แม้เพียงนิดเดียว

 

ร่างโปร่งไล่ต้อนปิศาจตรงหน้าที่พยายามถอยหนีพร้อมโต้ตอบกลับมาด้วยจนมูราจได้แผลจากเม็ดทรายกลับคืนมาบางส่วนจนกระทั่งทั้งคู่ลงจากขั้นบันไดมาอยู่ที่พื้นโถงเรียบ ๆ

 

แอซเซนก้าร่ายกลุ่มทรายขึ้นด้านหน้า ตวัดมืออย่างรวดเร็วเพื่อให้มันโจมตีเจ้าของเรือนผมสีอำพัน มูราจที่ไหวตัวทันรีบทรุดตัวลงต่ำแล้วใช้ฝ่ามือวางแนบไปกับพื้นจนปรากฏพื้นที่คล้ายวงแหวนล้อมรอบปิศาจด้านหน้าจนขยับหนีไม่ได้

 

ปิศาจทรายดูจะเสียจังหวะไปเล็กน้อยก่อนจะร่ายกลุ่มทรายข้างหน้าตนเพื่อให้มันพุ่งขึ้นมาโจมตีและเป็นโล่กำบังมูราจที่พร้อมจะพุ่งเข้ามาจนต้องไหวตัวถอยหลังกลับไปก่อน มิเช่นนั้นเข้าอาจจะได้แผลฉกรรจ์กลับมา

 

เพียงไม่นานวงแหวนทรายบนพื้นที่ร่างโปร่งได้สร้างขึ้นก็หายไปจนปิศาจทรายกับมาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง แอซเซนก้าจ้องมองนัยน์ตาเด็กหนุ่มที่วาวโรจน์ด้วยความแค้น ก่อนจะใช้สองมือร่ายเวทย์ให้กลุ่มทรายปรากฏขึ้นมาข้างด้วยทั้งสองด้าน แล้วสั่งให้มันพุ่งโจมตีศัตรูข้างหน้าจนเจ้าตัวต้องขยับหนีการไล่ต้อนของเม็ดทรายนับล้านที่หมายจะทำร้ายเขา

 

มูราจหอบหายใจ หรี่ตามองผ่านเม็ดทรายด้านหน้าที่กำลังจะสลายหายไป .. ร่างของราชันย์ปิศาจปรากฏแก่สายตา เขากระชับอาวุธในมือแล้วฟาดฟันใส่ร่างตรงหน้าเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวก่อนจะพุ่งผ่านมาอยู่ด้านหลังเพื่อตั้งหลัก

 

 

          “อึก ..”

 

 

แม้จะสามารถโจมตีอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ได้บาดแผลสวนกลับเช่นกัน เม็ดทรายมากมายกระแทกเข้าที่หางคิ้วขวาของเขาจนแตก เลือดสีสดที่ไหลลงมาทำให้สายตาเขาพร่าเลือนและต้องหยีตาข้างนั้นลง แม้จะได้แผลกลับมาแค่นี้ แต่อีกฝ่ายฉลาดแต่โจมตีได้ถูกจุดมาก ผิดกับเขา .. การโจมตีที่ใบหน้าโดยเฉพาะที่บริเวณตาเช่นนี้เป็นการทำให้คู่ต่อสู้เสียเปรียบได้อย่างมาก

 

และตอนนี้เขากำลังจะเสียเปรียบเรื่องการมองเห็น แม้พละกำลังกับความพลิ้วไหวจะมีมากกว่าก็ตาม

 

มูราจไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เขารีบปาดเลือดที่กำลังจะไหลมาถึงเปลือกตาแล้วรีบเข้าไปโจมตีศัตรูของตนทันที .. วงแหวนบนพื้นปรากฏขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งโดยฝีมือของมูราจเพื่อต้อนให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งและเข้าโจมตี แม้หลายครั้งหลายคราอีกฝ่ายจะไหวตัวทันจนร่ายกลุ่มทรายขึ้นมาเป็นโล่กำบังได้ทันและสวนกลับคืนได้ แต่เขามั่นใจว่าการโจมตีของเขาต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บอย่างมากแน่นอน

 

ร่างโปร่งสร้างวงแหวนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อปิศาจทรายโงนเงนหลังร่ายเวทย์เสร็จ หลังจากนั้นเขาจึงรีบพุ่งเข้าประชิดแล้วตวัดอาวุธเฉือนเข้าที่บั้นเอวของอีกฝ่ายจนเนื้อผ้าสีดำขาดวิ่นจนเม็ดทรายมากมายไหลออกมาจากช่องว่างนั้นไม่ต่างจากเลือดของมนุษย์

 

เขาถอยหลังกลับ แม้ปิศาจร้ายข้างหน้าจะไม่ได้ส่งเสียงโอดครวญเหมือนเขายามได้แผล แต่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดกับแผลที่เขาเป็นคนสร้าง ดูจากการขยับนิ้วที่สะเปะสะปะของอีกฝ่าย .. ทว่า เมื่อปลายนิ้วชี้ของอีกคนกดลงต่ำ เม็ดทรายจำนวนหนึ่งก็พุ่งตัดผ่านขาพับขวาด้านหลังของเขาจนเกือบทรุด

 

มูราจขยับถอยหลัง ขาข้างที่โดนโจมตีสั่นอย่างน่ากลัว .. เอาอีกแล้ว ปิศาจตนนั้นโจมตีจุดอ่อนของมนุษย์ถูกอีกแล้ว ความพลิ้วไหวของเขากำลังโดนบั่นให้ลดต่ำลงพอ ๆ กับการมองเห็นในตอนนี้ กลายเป็นว่าทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างเสียเปรียบทั้งคู่

 

เขาต้องโจมตีอีกครั้ง .. อีกเพียงครั้งเดียว ถ้าเขาสร้างบาดแผลได้อีกครั้ง เขาจะเป็นฝ่ายชนะทันที

 

มูราจกลืนน้ำลายลงคอพร้อมหลับตาลง สะบัดหน้าน้อย ๆ และเปิดตาเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาสีฟ้ากลับมาวาวโรจน์ เขาตั้งท่าจนมั่นใจแล้วว่าการจู่โจมครั้งนี้เขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบจึงพุ่งเข้าใส่พร้อมร่ายวงแหวนขึ้นอีกครั้ง อีกฝ่ายตวัดกลุ่มทรายออกมา แม้มันจะเฉียดไหล่ซ้ายเขาไป แต่ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าเลือดของตนจะไหล่ออกมามากน้อยเพียงใด

 

อาวุธในมือถูกกระชับแน่นแล้วตวัดตั้งแต่บั้นเอวเฉือนไปถึงช่วงไหล่ของอีกฝ่ายจนชายผ้าสีดำขาดวิ่น ร่างปิศาจทรายเอนไปด้านหลังเล็กน้อย เขาใช้แรงทั้งหมดกระแทกเข้าใส่จนราชันย์ล้มไปไกล

 

มูราจหอบหายใจ พร้อมย่างสามขุมเข้าไปใกล้ร่างที่พยายามจะลุกขึ้นมา

 

          “ข้าบอกแล้ว มันจะไม่ไร้ความหมาย ..” ชายหนุ่มกดเสียงต่ำพร้อมกัดฟันแน่น

 

          “อาณาจักรของข้า .. ทุกสิ่งที่เจ้าพรากไป มันจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง !! จงจบชีวิตอยู่ที่นี่ ตรงหน้าข้า !”

 

อาวุธในมือถูกกระชับแน่นพร้อมเงื้อขึ้น ร่างโปร่งเตรียมพุ่งเข้าใส่จอมราชันย์ที่ดูไร้ทางสู้และน่าเวทนาบนพื้น ทว่ากลับมีแรงมหาศาลพุ่งเข้ามากระแทกที่หลังของเขาจนล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น .. มูราจกัดฟันแน่น เขายังคงสู้ไหว

 

เจ้าของเรือนผมสีอำพันชั้นเข่าขึ้น ทว่าความปวดที่แผ่นหลังกลับแล่นปราดไปทั่วจนเขาขยับมากกว่านี้ไม่ได้ อีกทั้งขาของเขายังสั่นจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ มูราจมองไปยังปิศาจที่กำลังเงยหน้าขึ้นไปด้านบน พร้อมกับตวัดฝ่ามือ .. เขาแหงนหน้าขึ้นตามแล้วพบว่าโคมระย้าด้านบนกำลังร่วงลงมาสู่ตัวเขา

 

นัยน์ตาสีฟ้าสั่นระริก มูราจลดใบหน้าลงต่ำแล้วมองไปยังปิศาจทรายที่ยืนนิ่งอยู่ห่างออกไปด้านหน้า ..

 

แม้ไม่อาจเห็นสีหน้าหรือได้ยินน้ำเสียงถากถาง แต่อีกฝ่ายที่ยืนเหยียดไหล่ตรงอย่างสง่าเป็นการซ้ำเติมความพ่ายแพ้ของเขาอย่างดี และประกาศว่าคืนนี้จอมราชันย์คือผู้ชนะ

 

 

.

.

.

 

 

          เพียงแค่ขยับเปลือกตา ความเจ็บปวดก็แล่นปราดไปทั่วร่างราวกับถูกทับด้วยคอนกรีตขนาดใหญ่ ริมฝีปากบางเผยอออกแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวดเลยสักแอะ .. ร่างกายทั่วทุกส่วนเริ่มจะชา สมองของเขาหนักอึ้งไปหมดจนเม็ดเหงื่อเริ่มผุดตามกรอบหน้า

 

มูราจกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ พยายามอยู่นิ่ง ๆ ให้ความเจ็บปวดทุเลาลงก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้น แสงเพียงน้อยนิดไม่ได้แยงตาเขา และมันไม่มากพอที่จะทำให้เห็นว่าที่แห่งนี้คือที่ใด ทัศนียภาพรอบด้านเป็นเพียงภาพราง ๆ ทว่าสัมผัสที่รองรับเขาอยู่นั้น ราวกับเป็นผืนฟูกชั้นดีที่เขาไม่ได้สัมผัสมาแสนนาน

 

มูราจพลิกตัวนอนหงายหลังจากนอนตะแคงข้างอยู่ .. ไหล่ซ้ายพลันปวดปลาบขึ้นมาทันที ไหนจะแผ่นหลังของเขาที่เหมือนว่ากระดูกจะแตกพังได้ทุกเมื่อยังไงยังงั้น ร่างโปร่งกัดริมฝีปากพร้อมส่งเสียงซี๊ดออกมาเบา ๆ  เขาพยายามยันตัวขึ้น แต่สุดท้ายก็ต้องวางตัวลงไปนอนราบกับพื้นฟูกดังเดิม

 

มูราจพยายามหายใจเข้าออกหนัก ๆ ให้หัวใจที่เต้นเร็วผิดจังหวะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ฝ่ามือบางลูบเข้าที่ใบหน้าของตนอย่างเชื่องช้า และเลื่อนไปแตะที่หางคิ้วขวา .. ลูบมันอยู่สักพักถึงรู้ว่าตอนนี้มันได้ตกสะเก็ดแล้ว ตอนนี้ผ้าคาดของเขาไม่มีแล้ว ร่างกายรู้สึกเบาลงอย่างน่าประหลาด เมื่อลดมือลูบตามร่างกายต่ำลงไป เขาถึงรู้ว่าตนเองกำลังเปลือยอยู่

 

บัดซบเถอะ นี่มันอะไรวะ

 

 

          มูราจไม่คิดหรอกนะว่าไอ้ปิศาจสารเลวนั้นจะเกิดเวทนาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เห็นว่าเขารอดเลยพาตัวมาหมกไว้อย่างนี้ .. สุดท้าย ยังไงก็คงถูกปลิดชีพทิ้งอย่างไร้เยื่อใยเหมือนที่มันทำกับอาณาจักรของเขา

 

ข้าไม่กลัวหรอก ..

 

ทว่า .. เหตุใดน้ำตาถึงรื้นขึ้นมาได้นะ ?

 

เพราะคำพูดที่ว่าเขาเอาชีวิตมาทิ้งโดยไร้ความหมายงั้นหรือ ? ในเวลาอันใกล้ เขากำลังจะตาย และไม่มีโอกาสได้เห็นอาณาจักรของตนกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง

 

ทำไมไม่ตายไปตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะ

 

ไม่มีเวลาพอที่จะฟื้นฟูร่างกายเพื่อกลับไม่แก้แค้นตอนนี้หรอก .. อาวุธที่ปกป้องเขาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายตอนนี้เสียด้วย

 

 

          มิอาจจำได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่เคยตัดพ้อเฉกเช่นนี้กับตัวเองคือเมื่อใด ตั้งแต่ที่อาณาจักรล่มสลาย ไฟแค้นที่สุมอยู่ในอกนั้นแทบไม่ให้ความรู้สึกอื่นได้แทรกเข้ามาเลย .. แต่บัดนี้ ในเวลาที่กำลังพ่ายแพ้แบบมิอาจพลิกสถานการณ์ใด ๆ กลับมาได้ เขารู้สึกราวกลับได้ย้อนกลับไปในวัยเยาว์ แม้จะถูกมองว่าเป็นองค์ชายน้อยที่แข็งแกร่งดั่งบิดา ทว่าความน้อยอกน้อยใจก็มีมากไม่แพ้กัน .. เหตุเพราะการสู้รบที่บิดาของเขาเป็นผู้นำนั่นแหละ

 

ความอบอุ่นที่ได้ ไม่เคยพอเลย

 

มูราจเสตาไปทางอื่นพร้อมเม้มปากน้อย ๆ ขยับปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาออกไปก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพด้านหน้าดูสว่างขึ้นราวกับมีใครกำลังเพิ่มระดับแสงไฟ ทั้งที่สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดเลยนอกจากเขา

 

ร่างโปร่งพยายามดันตัวขึ้น อย่างน้อยแสงที่เพิ่มขึ้นมาก็ช่วยให้เห็นว่าตอนนี้เขาอยู่ในห้องนอนขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยมีสิ่งใดวางตบแต่งมากนัก .. นั่นทำให้ห้องนี้อบอวลไปด้วยความเหงาแหละหว่าเว้จนตัวเขายังรู้สึกได้

 

เมื่อพยายามจะลุกขึ้น กลับกลายเป็นว่ามีทรายมากมายพุ่งขึ้นมาปิดกั้นรอบเตียงของเขาเป็นแฉก ๆ คล้ายโดมทรายขนาดย่อม .. ถ้าเอามือหรือร่างกายไปแตะเข้า แน่นอนว่าทรายพวกนั้นจะสร้างบาดแผลให้เขาอย่างแน่นอน มูราจขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกโกรธเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าตนเองถูกกระทำราวกับนักโทษที่ถูกขังอยู่ในคุก .. ซึ่งเขาก็อยู่ในสถานะนั้นจริง ๆ

 

ดวงตาเรียวตวัดไปที่ประตูห้องตามสัญชาตญาณ .. ความรู้สึกหนึ่งบอกว่ามีบางสิ่งกำลังตรงมา เขาเม้มปากแน่นเพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น .. และเป็นไปตามคาด เมื่อบานประตูใหญ่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของปิศาจที่เขาจงเกลียดจงชังกำลังเดินเข้ามาด้วยท่วงทีเฉื่อยช้า

 

 

          “ยังใจแข็งไม่ตายได้อยู่อีกรึ ..”

 

          “จะปล่อยให้ข้าตายอย่างเชื่องช้าทำไมล่ะ .. ทำไมไม่ฆ่าข้าด้วยน้ำมือของเจ้า ปลิดชีพข้าสิ ทำเหมือนที่เจ้าถล่มอาณาจักรข้าในไม่กี่อึดใจ !”

 

 

จอมราชันย์เดินแทรกผ่านทรายที่ตนเองเป็นคนสร้างเข้ามา มองร่างของเจ้าชายตกอับที่ไร้ทางสู้ด้วยความรู้สึกสมเพช อีกใจหนึ่งก็อยากหัวเราะเยาะที่ปากเล็ก ๆ นั่นยังถือดีได้อีก

 

ความได้เปรียบอย่างหนึ่งของการไร้รูปกายคือการที่ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถอ่านใจหรือมองสีหน้าออกได้ .. มันเป็นการสร้างความกดดันและทำให้อีกฝ่ายเสียขวัญในเวลาไม่นาน

 

และ ใช่ .. ตอนนี้ข้าเห็นแววตาคู่นั้นกำลังวูบไหว แม้มันจะยังฉายแววความดื้อรั้นอยู่

 

แต่วูบไหวเพราะอะไรนั้น .. ครานี้ข้าเดาไม่ออกเลยสักนิด

 

 

          “ฆ่าข้าสิ”

 

          “อะไรนะ .. ?”

 

          “ข้าบอกให้เจ้าปลิดชีพข้า .. เราเคยอยู่ด้วยกันมาเนิ่นนาน ข้ารู้แน่ว่าปิศาจอย่างเจ้ามักจะฆ่าศัตรูด้วยน้ำมือของตนในทันทีโดยไม่รอให้มันตายอย่างช้า ๆ .. เจ้าไม่มีทางเก็บข้าไว้เพื่อหลอกใช้ ปิศาจอย่างเจ้าไม่ต้องการผู้ใดยื่นมือมาช่วย”

 

 

ปากเล็ก ๆ นั่นร่ายยาวออกมา .. ยอมรับว่าส่วนใหญ่ก็ถูก .. ไม่สิ ถูกทั้งหมดที่พูดมาเลยต่างหาก แต่เหตุใดเขาถึงยังไม่ปลิดชีพอีกฝ่ายนั้น .. ยังไม่มีเหตุผลแน่ชัดเช่นกัน

 

หรือบางที ปิศาจสารเลวอย่างที่เจ้าว่า อาจจะอยากเห็นสีหน้าสุดท้ายของเจ้ายามพ่ายแพ้และไม่อาจทวงคืนสิ่งใดที่ถูกพรากไปเลย

 

 

          “พูดอะไรออกมาบ้าง ! เจ้าคิดจะเล่นสงครามประสาทรึไง .. รีบถากถางข้า ดูถูกข้า แล้วปลิดชีพข้าสิ เจ้ายังเห็นความพ่ายแพ้ของข้าไม่พอรึไง เจ้าบอกเองว่ามันไร้ประโยชน์ !”

 

 

ร่างโปร่งตวาดลั่น นั่นทำให้ปิศาจทรายนิ่งไปเล็กน้อย .. นานแล้วที่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายตัดพ้อหรือโวยวายออกมาเช่นนี้ ตั้งแต่เด็ก ๆ ตัวตนของอีกฝ่ายถูกทาบทับด้วยท่วงท่าสง่าและแข็งแกร่ง น้อยครั้งนักที่จะมีใครได้เห็นอาการโวยวายแบบนี้

 

แน่นอน บิดาของเจ้าไม่เคยได้เห็น

 

 

          “เจ้ารู้แก่ใจนี่ ว่ามันไร้ประโยชน์ .. แล้วเหตุใดจึงดันทุรังมาตายแบบนี้ ?”

 

          “..” สีหน้าของอดีตเจ้าชายคล้ายว่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

 

          “อาวุธของเจ้า .. ปกป้องเจ้า แทนที่เจ้าจะหนีไปที่ ๆ ไกลแสนไกล ใช้ชีวิตที่ .. ดีกว่านี้ แต่เจ้ากลับเลือกที่จะกลับมา ตัวคนเดียว .. ข้าเองที่ตัวคนเดียวสามารถทำให้อาณาจักรของเจ้าย่อยยับได้ ใยข้าจะพ่ายแพ้ต่อเจ้าล่ะ ?”

 

 

พ่ายแพ้ สิ้นหวัง เจ็บปวด และสับสน .. นั่นคือสิ่งที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่สวย หัวใจดวงน้อยคงกำลังกรีดร้องและแตกสลายไปอย่างช้า ๆ อีกฝ่ายนิ่งเสียจนนึกว่าไร้ซึ่งวิญญาณในร่างงามนั้นแล้ว

 

มูราจเผยอปากค้าง ดวงตาดูตื่นตระหนก สั่นไหว และสับสน ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเสียใจและในอีกไม่นานอาจจะร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดสภาพ

 

 

          “ทำไมถึงหักหลังข้า ..”

 

          “..”

 

          “ทำไมท่านถึงหักหลังข้า”

 

 

มือบางคว้าเข้าที่ผ้าคลุมของปิศาจตรงหน้า รั้งตัวขึ้นมาจนลืมความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่าง ขอบตาร้อนผ่าวแต่ยังคงจ้องไปยังปิศาจที่เกลียดชังสุดขั้วหัวใจราวกับจะเค้นเอาคำตอบโดยไม่ได้กะพริบตาเพื่อไล่น้ำตาออก

 

 

          “แอซเซนก้า ท่านหักหลังข้าทำไม” น้ำเสียงชายหนุ่มช่างเว้าวอนและผิดหวัง สองมือกอบกุมชายผ้าสีดำแน่นจนขึ้นนิ้วขึ้นข้อขาว

 

          “ท่านตกลงและทำสัญญากับข้า .. แล้วทำไม–ท่านจึงหักหลังข้าได้เลือดเย็นเช่นนั้น”

 

 

สิ้นเสียง น้ำตามากมายจึงไหลอาบใบหน้าสวยอย่างหมดสภาพ ราชันย์ปิศาจมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่ร้อนรนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ชายหนุ่มทั้งรั้งทั้งกระชากชายเสื้ออย่างแรงพร้อมริมฝีปากที่พ่นคำพูดมากมายออกมาที่เขาไม่สามารถฟังออกได้ .. ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดไม่ได้ศัพท์เองหรือตัวเขาที่สติหลุดจนไม่สามารถจับใจความเหล่านั้นได้แล้ว

 

 

          “.. —”

 

          “ทำไม – แอซเซนก้า ..”

 

          “.. –ท่านเลือดเย็นนัก”

 

          “—ข้าทำสิ่งใดผิด .. ท่านหักหลังข้าทำไม”

 

 

          “ท่านทำลายบ้านของข้าทำไม”

 

 

คำพูดซ้ำ ๆ เดิม ๆ ถูกพร่ำออกมาจากริมฝีปากบาง ราวกับจะส่งความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและผิดหวังให้คนฟังได้เข้าใจ ทว่าประโยคสุดท้ายของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาคุกรุ่นขึ้นมาบ้างเช่นกัน ฝ่ามือนูนที่ดูราวกับเป็นข้อกระดูกคว้าหมับเข้าที่ลำคอระหงแล้วกดให้นอนราบลงไปโดยไม่นึกถึงว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดเช่นไร .. แล้วใครสน ? ในเมื่อมันเป็นศัตรู

 

ร่างโปร่งโอดครวญเบา ๆ เพราะความเจ็บปวดที่แล่นปราดไปทั่วร่างอีกครา ชายหนุ่มสะอื้นฮักก่อนจะพร่ำพูดแต่คำเดิม ๆ ออกมาอีกครั้ง จนสุดท้ายปิศาจที่พยายามจะใจเย็นก็เริ่มส่งเสียงตวาดออกมา

 

 

          “เลิกเอ่ยวาจาโง่เง่าได้แล้ว เจ้าชายอย่างเจ้า .. เจ้ามันลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เหมือนบิดาของเจ้า” น้ำเสียงกดลงต่ำ ชายหนุ่มที่กำลังเสียเปรียบเตรียมอ้าปากแย้ง แต่เมื่ออีกฝ่ายออกแรงบีบที่ลำคอ ทำให้เขาต้องปิดปากเงียบไป

 

          ทำไม่ถึงหักหลังข้า ราษฎรของข้า .. เจ้าฆ่าพวกเขาอย่างเลือดเย็น พร่ำบ่นเข้าไปเสียเถอะ เอาแต่เว้าวอนถึงบ้านของตัวเอง .. เจ้าชายน้อย บิดาเจ้าไม่เคยบอกว่าอัยกาของเจ้าทำอะไรกับข้า”

 

 

ดวงตาคู่งามฉายแววสับสนอีกครั้ง มีเรื่องอะไรที่เขาไม่เคยรู้อีก .. น้ำเสียงของปิศาจทรายที่เปล่งออกมาดูเย็นชาและเต็มไปด้วยความแค้นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ที่เขาเคยได้ฟัง

 

 

          “ก่อนที่อาณาจักรเจ้าจะรุ่งโรจน์ได้ขนาดนี้ .. อัยกาของเจ้านำกองทัพเข้ามารุกรานพื้นที่ของข้า เพียงแค่นั้นไม่พอ .. ยังอาจหาญขโมยชิ้นส่วนพลังของข้าไปอีก !” น้ำเสียงของมันดูโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าครั้งใด

 

          “อาวุธนั่น–ที่ส่งต่อรุ่นต่อรุ่นมาถึงเจ้า .. แท้จริงมันเป็นของข้า มิใช่ของเจ้า

 

 

ชายหนุ่มสะอื้นฮัก ความจริงที่กระจ่างขึ้นมาหลังจากมัวแต่สุมไฟแค้นในอกโดยไม่ยอมรับรู้อะไรเลยทำให้เขาพูดไม่ออก ไม่กล้าแย้งสิ่งใด มีเพียงความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

 

น้ำตาที่เอ่อคลอรอบดวงเริ่มหยดผล็อยอีกครั้ง ร่างโปร่งยื่นมือสั่น ๆ ขึ้นไปแตะที่ปลายผ้าคลุมศีรษะ ก่อนจะแทรกมือเข้าไปด้านใน วูบหนึ่งเขารู้สึกราวกับว่าสัมผัสโครงหน้าของปิศาจตรงหน้าได้

 

 

          “แอซเซนก้า .. ขอโทษ

 

          ข้าขอโทษ

 

 

อีกครั้งที่ชายหนุ่มพร่ำคำเดิมซ้ำ ๆ แต่ครานี้น้ำเสียงกลับอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด มันเต็มไปด้วยความสำนึกผิดและต้องการปลอบประโลม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่ช่วยอะไร .. แต่อย่างน้อยฝ่ามือรอบคอของเขาก็คลายแรงที่กอบกุมเอาไว้แม้ไม่ได้ผละออกไป

 

 

          “แอซเซนก้า .. ข้าทำ—ข้าขอโทษ .. แอซเซนก้า”

 

 

ดวงตาคู่สวยเริ่มพร่ามัว มันไม่ใช่เพราะน้ำตา แต่เขารู้สึกเหมือนสติของตัวเองกำลังจะดับลงในไม่ช้าเพราะเขาฝืนใช้พลังงานมากเกินไปทั้งที่ร่างกายเจ็บปวดขนาดนี้

 

ในขณะที่ภาพตรงหน้าเบลอจนแทบมองไม่เห็นอะไรแล้ว ..

 

เขารู้สึกถึงสัมผัสอุ่น ๆ ที่แนบอยู่ตรงหน้าผากค้างเอาไว้ก่อนจะผละออกมา .. ในระยะอันใกล้นี้ เขาเห็นลูกแก้วสีม่วงคู่งามที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีเข้มนั้น

 

ไม่อาจคาดเดาว่ามันฉายแววอะไรบ้าง ..

 

แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ .. มันอบอุ่นเหลือเกิน

 

 

 

 

 

 

          ไม่เป็นไร ..

 

 

          องค์ชายของข้า