[Tomie] lil’ troublemaker

Pairing : Jamie Campbell Bower × Toby Regbo

Rate : PG(งุ้งงิ้ง….)

Note : ต้องบอกไว้ก่อนว่า OOC ค่อนข้างมากค่ะ เรียกว่าเราเมคขึ้นมาใหม่เลยก็ได้(ส่วนนึงอิงความหัวดื้อของโทบี้มาจากบทเจมส์ในเรื่อง STPWBUTY) และ ถึงหัวเรื่องจะบอกว่าเป็นเจ้าตัวแสบ เจ้าตัวน้อย แต่ที่จริงแล้วไม่ค่อยมีอะไรเลยค่ะ(ฮา) ก็..อ่านเรื่อย ๆ เพลิน ๆ แล้วกันเนอะ คงไม่ทำเป็นเรื่องยาว แต่เราแน่ใจว่าอาจจะมีตอนต่อไป—ค่อนข้างติดลมพี่ดุกับน้องดื้อน่ะค่ะ เขียนพอกระชุ่มกระชวยหัวใจ ฮื่อ ขอให้สนุกนะคะ ! ,____, ♡

 


 

โทบี้กำลังหัวเสีย

เด็กหนุ่มตัวขาววัย 17 ปี เจ้าของชื่อโทบี้ เร็กโบกำลังเดินวนไปมาอยู่บนพรมเช็ดเท้าที่ห้องนั่งเล่นพลางใช้มือแตะริมฝีปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยมีมีโร่—สุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสนิทหันมองตามตลอดเวลา

สาเหตุที่ทำให้เขาเป็นกังวลอยู่แบบนี้ก็เพราะพ่อและแม่ของเขาเพิ่งจะออกเดินทางไปเที่ยว..พร้อมกับคุณป้าข้างบ้าน ไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหา—ปัญหาที่แท้จริงคือ ระหว่างที่ผู้ใหญ่ทั้งสามไม่อยู่ โทบี้จะต้องอยู่เฝ้าบ้านโดยอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หลานชายสุดที่รักของคุณป้าผู้แสนใจดีจะมาอยู่ดูแลเขา !

สาบานได้ โทบี้โตพอจะอยู่ดูแลบ้านคนเดียว..แต่กับบ้านข้าง ๆ ที่มีเพียงหญิงสาวคนเดียวอยู่อาศัยจะให้ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลคงจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้น เด็กหนุ่มที่หายหน้าไปหลายปีจึงถูกไหว้วานให้กลับมาดูแลบ้านหลังนั้นในระยะเวลาสั้น ๆ

เจมี่ แคมป์เบล บาวเวอร์

จะเรียกว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ถูก ป่านนี้คงกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวไปแล้วล่ะมั้ง

 

ไม่สิ นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักเสียหน่อย ถ้าพระเจ้าเห็นใจเขาล่ะก็ ช่วยให้หมอนั่นอยู่คนเดียวไม่มาวุ่นวายกับเขาที โทบี้จะได้ใช้เวลาเกือบสัปดาห์หมดไปกับการนั่งนอนดูซีรีย์กับมีโร่พร้อมป๊อปคอร์นถังใหญ่โดยไม่มีใครมาเจ้ากี้เจ้าการใส่เขา

ไม่ ไม่ ไม่—เจมี่ที่เขารู้จักมาตั้งแต่เล็กขึ้นชื่อเรื่องความ’ดุ'(สำหรับโทบี้แค่คนเดียว)

ดุที่ว่าหมายถึงหน้าตาที่ชอบทำคิ้วขมวดใส่เขา ไหนจะดวงตาที่เอาแต่จ้องเขม็งมาราวกับจับผิดทุกการกระทำของโทบี้

นั่นยังไม่รวมคำพูดที่ไม่เสนาะหู(สำหรับโทบี้แค่คนเดียวอีกแล้ว)พวกนั้นอีก !

 

แค่นึกถึงแววตาดุ ๆ คู่นั้นเขาก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียจนมีโร่หูตั้งด้วยความตกใจ เจ้าสี่ขาเพื่อนรักผุดขึ้นมาวิ่งวนที่เท้าขวา โทบี้อุ้มเพื่อนสนิทตัวน้อยขึ้นมากอดไว้ก่อนจะทิ้งตัวแหมะลงกับโซฟา

หันมองดวงตาใสแจ๋วที่จ้องอยู่ก่อนแล้วจึงอ้าปากเตรียมระบายความในใจให้ฟังถึงแม้ว่ามีโร่จะไม่เคยเข้าใจเลยก็ตาม ทว่าเสียงออดหน้าบ้านกลับดังขัดขึ้นมาเสียก่อน เขามองมีโร่ด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก—ใครมาน่ะ ?

คงไม่ใช่เจมี่หรอก..ใช่ไหม

ยังไม่ถึงเที่ยงเลย !

ยังไม่ทันโอดครวญอะไรออกมา เสียงออดครั้งที่สองจึงดังขึ้นและครั้งที่สามตามมาติด ๆ

โทบี้รีบรุดไปยังหน้าประตู บิดลูกบิดแง้มออกให้คนด้านนอกรู้ว่าเขาออกมาต้อนรับแล้ว แต่ก็เพียงแค่แง้มล่ะนะ

‘ฉันตายแน่ ..’ เขาก้มลงไปกระซิบโดยไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ให้สุนัขในอ้อมกอดฟัง ซึ่งมีโร่ตอบสนองด้วยการกระดิกหูหนึ่งครั้ง

คิ้วเรียวมุ่นเข้าหากันก่อนจะกลั้นใจเปิดบานประตูต้อนรับคนที่ยืนรออยู่พักหนึ่งแล้ว

และ..ใช่ คนนั้นคือเจมี่

เห็นหางคิ้วก็รู้แล้วว่าใคร

 

“.. หวัดดี”

 

ทักทายเจ้าของใบหน้าไม่สบอารมณ์ที่กำลังยืนกอดอกด้วยน้ำเสียงออกไปทางประหม่า ดวงตาเรียวสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า(แน่นอนว่าอีกฝ่ายชำเลืองมองมีโร่ด้วย)ทำให้โทบี้ต้องก้มหน้ามองสารรูปตัวเองที่ตอนนี้เรียกได้ว่า…เอ่อ

อยู่ในชุดนอน

 

“นี่มันสิบโมงแล้ว เพิ่งตื่นรึไง ?”

“ก็ผมอยู่บ้าน พี่จะให้ผมแต่งตัวยังไง”

 

เขาล่ะอยากตีปากตัวเองแรง ๆ ชะมัดที่โพล่งออกไปไวกว่าความคิด แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ทำเพียงแสดงสีหน้าเรียบนิ่งสู้กับคิ้วที่ขมวดเข้าหากันหนักกว่าเดิม

 

“ต่อปากต่อคำ ?”

“ผมแค่ให้เหตุผล”

“โอ้—เชื่อเขาเลย”

 

ร่างสูงเอ่ยออกมาพร้อมหันหน้าไปทางอื่นคล้ายจะสบถกับตัวเองมากกว่า แต่น้ำเสียงมันดังเกินกว่าจะเรียกแบบนั้นน่ะนะ โทบี้เม้มปาก

 

“.. นึกว่าพี่จะมาตอนเที่ยงเสียอีก”

 

เจมี่เลิกคิ้ว มองคนอายุน้อยกว่าที่กำลังหลบสายตาโดยการให้ความสนใจกับสุนัขในอ้อมกอดแทนที่จะเป็นคู่สนทนา

“คุณป้ากำชับว่าให้รีบมาดูแลนาย” เขาแทรกตัวเข้าไปในตัวบ้านหลังถูกปล่อยให้ยืนอยู่เสียนานโดยไร้ซึ่งคำเชื้อเชิญ ดวงตาดุดันจ้องเขม็งเจ้าของเรือนผมสีเข้มที่ผงะก้าวถอยหลังพร้อมเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา “เป็นพิเศษ”

“…”

“ไปเปลี่ยนชุด”

โทบี้อ้าปากค้างที่จู่ ๆ ก็โดนออกคำสั่ง เขาไม่มีแพลนว่าจะออกไปไหนในเช้านี้แต่กับอีกฝ่ายน่ะไม่แน่ “แต่ผมไม่ได้จะออกไป—”

“ไปเปลี่ยนชุด”

 

เมื่อโทนเสียงที่ใช้ถูกเพิ่มระดับขึ้น เด็กหนุ่มจึงรีบวางเพื่อนรักสี่ขาลงบนพื้นก่อนจะรีบก้าวเท้าไว ๆ ขึ้นไปที่ห้องของตัวเอง

เจมี่หันไปปิดประตูบ้านให้เรียบร้อยแล้วจึงก้มมองอีกชีวิตที่อยู่ในบ้าน—ร่างสูงค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าสุนัขที่เจ้าของบ้านเลี้ยงไว้ โทบี้ที่รู้จักเขามาแต่เล็ก ๆ ทำไมมีโร่ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งนานจะไม่คุ้นเคยกับเขาล่ะ

 

“น่ารักขึ้นเยอะ”

เอื้อมมือไปเกาแก้มที่อยู่ใต้ขนสีน้ำตาลดำเป็นรางวัลให้เด็กดีและเชื่อฟัง ซึ่งเจ้าตัวจ้อยก็เห่ารับพร้อมหมุนตัวไปมา

“ไม่เห็นเหมือนเจ้าของ ยิ่งโตยิ่งดื้อ”

มีโร่กระดิกหู

มองตามแขกที่ถอดเสื้อนอกพาดไว้บนราวแล้วเดินตามเข้าไปในครัว

 

##

โทบี้เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เสื้อยืดคอปกสีเข้มกับกางเกงขายาวสีครีมที่พับขึ้นมาถึงหน้าแข้ง เหมาะที่จะใส่อยู่บ้าน และไม่น่าเกลียดที่จะใส่ออกไปข้างนอก

นัยน์ตากลมกวาดมองหาเพื่อนสี่ขาและแขกที่ไม่อยากรับเชิญที่ควรจะอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่กลับไร้ซึ่งวี่แวว หางตาเขาสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวจากห้องข้าง ๆ ซึ่งก็คือครัว จึงหันทิศทางไปยังห้องนั้นทันที

เมื่อก้าวเข้ามา จานสปาเก็ตตี้โง่ ๆ ที่มีควันลอยฉุยก็ถูกนำมาวางไว้ที่โต๊ะอาหาร แน่นอน มันก็แค่อาหารแช่แข็งที่ซื้อมาติดบ้านไว้ สำหรับเวลาแบบนี้โดยเฉพาะ

 

“พนันห้าเหรียญ นายยังไม่กินอะไรตั้งแต่เช้า”

“เครียดเรื่องพี่จนลืมหาอะไรใส่ท้อง..”

“ว่าไงนะ ?”

 

โทบี้เลี่ยงที่จะไม่ตอบซ้ำ เขาย้ายตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมอุ้มมีโร่ขึ้นมานั่งบนตักเมื่อเพื่อนรักสี่ขาวิ่งตรงมาหาอย่างรู้งาน

แทนที่เจมี่จะนั่งตรงข้ามกับเขา—ตามหลักน่ะนะ อีกฝ่ายกลับมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างเสียอย่างนั้น

 

เด็กหนุ่มชำเลืองมองคนข้างกายได้แค่ครู่เดียวก็ต้องหลบสายตาเมื่อคนอายุมากกว่าก็มองมาที่เขาเช่นกัน แขนที่ใช้ประคองสลับกับสางขนให้เพื่อนสี่ขาคู่ใจทำให้โทบี้ต้องใช้มือเพียงข้างเดียวในการม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปาก

นอกจากเสียงครางงื้ด ๆ สลับกับเสียงเห่าของมีโร่ และเสียงเป่าควันที่ลอยอยู่เหนือจานอาหารของเขาก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีกเลย

จะว่าอึดอัดก็ใช่ แต่การไม่พูดอะไรเลยมันน่าจะดีกว่าการต้องสนทนากับเจมี่ .. โทบี้คิดแบบนั้น

อย่างที่บอก โทบี้ใช้มือเพียงข้างเดียวในการลงมือทานอาหาร เมื่อซอสเลอะที่มุมปากจึงเป็นการยากที่เอื้อมมือไปหยิบทิชชู่กลางโต๊ะมาเช็ดออก เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการแลบลิ้นเลียมันเสียเลย

และดูท่าว่ามันคงขัดใจเจมี่ไม่น้อย อีกฝ่ายถึงได้ดึงทิชชู่มาเช็ดมุมปากที่เลอะซอสของเขาให้

 

“เฮอะ—ไม่รู้จักโต”

โทบี้ชะงักทุกการกระทำแล้วหันไปถลึงตาคนที่เพิ่งจะต่อว่าเขาไปหยก ๆ

“ครั้งสุดท้ายที่ร่วมโต๊ะกินข้าวกับนายฉันก็ทำแบบนี้” ว่าพลางขยำทิชชู่ในมือเป็นก้อนแล้วปาลงถังขยะอย่างพอดิบพอดี

“ถ้าพี่จะเลิกเอาปัจจุบันไปเปรียบเทียบกับอดีตได้ล่ะก็ ผมจะดีใจมาก”

เสียงแค่นหัวเราะดัง หึ ลอยออกมาจากชายหนุ่มรุ่นพี่

“บอกว่าวันนี้ไม่คิดจะออกไปไหนใช่มั้ย ?”

“ใช่..ถ้าพี่ไม่คิดจะลากผมออกไปข้างนอกน่ะนะ”

“ไม่ล่ะ เดินทางมาเหนื่อยพอแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกัน”

คนตัวสูงผุดลุกขึ้นทันทีที่พูดจบจนโทบี้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม

“จะกลับแล้วเหรอ ?”

“อืม”

โทบี้กู่ร้องคำว่า เยส ! ดัง ๆ ภายในหัวเมื่อมองตามร่างคนโตกว่าที่กำลังจะเดินออกจากประตูห้องครัว อีกฝ่ายชะงักเท้าหันมาหาเขาและเอ่ยสิ่งที่ทำให้โทบี้ถึงกับวางส้อมลงพร้อมแสดงสีหน้าเหม็นเบื่อออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“อ้อ—หมายถึงกลับไปเอากระเป๋าเสื้อ ฉันจะมานอนที่นี่

 

ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เห็นใจเขาเท่าที่ควร

ไม่สิ ใจร้ายมาก ๆ เลยต่างหาก

 

##

“ขอโทษนะ—เผื่อพี่ลืมว่าบ้านเรามีห้องว่างสำหรับรองรับแขก”

คิ้วเรียวเลิกขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยเป้ลงพื้นข้างเตียงดังตุ้บ แถมยังขึ้นไปนั่งบนเตียงของเขาแล้วยักคิ้วกวนประสาทให้อีก

 

“นอนนี่แหละ เตียงกว้างดี”

“แค่ผมกับมีโร่นอนด้วยกันก็เต็มแล้ว”

“ไม่เอาน่า..ฉันนอนด้วยคนได้อยู่แล้ว เนอะ ?”

 

เจมี่เบนสายตาไปหาเพื่อนสี่ขาที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม มันเห่ารับทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจมี่กำลังพูดถึงเรื่องอะไร

ใบหน้าน่ารักกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คงเป็นเจมี่เสียมากกว่าที่ยังติดนิสัยอะไรแบบเด็ก ๆ แต่เขาจะไม่ยกมันมาพูดหรอกนะ..คนตัวขาวมองตามอีกฝ่ายที่เอื้อมไปหยิบอัลบั้มภาพถ่ายบนหัวเตียงมาเปิดดูเล่น—มันก็คือภาพถ่ายวัยเด็กของเขาที่สีเริ่มซีดไปแล้วนั่นแหละ ซึ่งโทบี้ไม่ได้ยี่หระที่คนตรงหน้าจะเปิดดู

 

“เห็นบอกว่าเหนื่อย พี่จะนอนเลยหรือเปล่า ?”

 

อัลบั้มถูกวางเก็บไว้ที่เดิมพร้อมดวงตาคมที่ชำเลืองมาหาเขา จะว่าไป โทบี้ไม่รู้สึกกลัวสายตาคู่นั้นเหมือนตอนเด็ก ๆ แล้ว ออกจะไปทางเบื่อหน่ายเสียมากกว่า เพราะตอนนี้เขาโตเกินกว่าจะก้มหน้าให้อีกฝ่ายคอยดุคอยสอนอะไรต่อมิอะไรเหมือนครั้งวัยเยาว์

เจมี่ยักไหล่พร้อมเอนตัวลงบนที่นอนแทนคำตอบ นั่นทำให้เจ้าของห้องเตรียมเดินออกไปจะได้ไม่เป็นการรบกวนเวลานอนอันแสนสุขของคนตรงหน้า..ถ้าหากไม่ถูกเรียกไว้เสียก่อน

เขาหันมอง เห็นเจมี่กำลังกวักมือเรียกอยู่ก็เลยเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เผื่อว่าอีกฝ่ายจะต้องการอะไรเพิ่มเติม

 

“มาเป็นหมอนข้างให้หน่อย”

..

“ห๊ะ !”

 

เด็กหนุ่มตาโต ร้องเสียงดังจนใบหูทั้งสองของเพื่อนสี่ขาตั้งขึ้น

“อะไรล่ะ ?” โทบี้อ้ำอึ้ง ก่อนจะขมวดคิ้ว มือเรียวข้างหนึ่งผละออกมาลูบใบหน้าของตัวเองและตั้งคำถามว่าเมื่อครู่ไม่ได้หูแว่วไปเองใช่หรือไม่

“พี่ยังไม่โตรึไง”

“ทีตอนเด็กนายยังขอให้พี่กอดเวลานอนด้วยกันเลย”

เด็กหนุ่มอ้าปากค้างอีกรอบ—อะไรของหมอนี่วะ .. โทบี้ไม่แน่ใจว่ารุ่นพี่ที่นอนอยู่เบื้องหน้ามีแผนจะเล่นตลกอะไรหรือเปล่า แต่ไอ้ท่าทางที่ดูไม่ยี่หระนั่นก็อ่านยากเกินไป

 

“เร็ว”

“โอ้—ขอปฏิเสธ ผมเพิ่งตื่นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ใจคอพี่จะให้ผมนอนต่อเหรอ ? พี่คิดว่าผมจะหลับลงเหรอ ?”

เขาคาดหวังที่จะได้คำตอบดี ๆ หรือการไล่ให้ออกไปด้วยท่าทีรำคาญแต่—

“ต้องให้ไปอุ้มไหม ?”

 

เชื่อสิ เจมี่ทำอย่างที่พูดแน่

 

เขากลอกตารอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันจนตาขาวแทบจะเหลือกกลับเข้าไปด้านใน คนตัวขาวย้ายร่างมาที่ข้างเตียงก่อนจะนั่งหันหลังให้อีกฝ่าย

 

“นายคงต้องนอนข้างล่าง”

 

เอ่ยเสียงเบากับเพื่อนสนิทในอ้อมแขน เมื่อได้รับการกระดิกหูตอบรับเด็กหนุ่มจึงปล่อยให้เพื่อนสี่ขาโผออกจากอ้อมแขนไปอย่างง่ายดาย เป็นจังหวะเดียวกับแขนแกร่งที่เอื้อมมาคว้าเอวเขาให้หงายลงไปนอน

โทบี้ยังคงหันหลังให้คนโตกว่า ท่อนแขนที่รวบเอวเล็กไว้แน่นในทีแรกค่อย ๆ คลายออก แต่แทนที่ด้วยการขยับร่างมาจนชิดแผ่นหลังบอบบางพร้อมคางที่เคยอยู่ตรงลาดไหล่

 

“เจมี่..นี่มันใกล้ไป”

กล่าวกับคนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงผะแผ่ว ไม่กล้าหันไปหาเพราะกลัวส่วนใดส่วนหนึ่งบนใบหน้าจะเฉียดเข้ากับจมูกโด่งของอีกฝ่าย

“ตอนเด็ก ๆ นายแทบจะมุดอกฉันแล้วด้วยซ้ำ เผื่อนายลืม”

โทบี้อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะกล่าวแย้ง

 

“ผมพูดจริง ๆ นะ..มันจะดีมากถ้าพี่เลิก—”

“ทำไมคนเราจะพูดเรื่องดี ๆ ในอดีตไม่ได้ล่ะ”

“…”

“ฉันไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหน”

“…”

“นอนเถอะ วันนี้ฉันไม่มีแรงเถียงกับเด็กดื้อแบบนาย”

 

สิ้นเสียง ร่างสูงจึงขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุดก่อนจะปิดเปลือกตาหลังสู้กับความเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาตั้งแต่เช้ามืด ผิดกับโทบี้ที่ยังลืมตาอยู่

 

เรื่องดี ๆ งั้นเหรอ ? โทบี้กะพริบตาปริบ ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มหายใจเข้าออกเป็นจังหวะราวกับตกเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว—ไม่ใช่ว่าเขาจะเขินอายในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่ ..

มันดีมาก ๆ เลยล่ะที่อีกฝ่ายมองว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็น’เรื่องที่ดี’ เพราะที่ผ่านมาเขาคิดว่าเจมี่จะไม่ชอบความทรงจำในวัยเด็กที่มีร่วมกับเขาเสียอีก เท่าที่จำความได้ มันมีแต่ใบหน้าดุ ๆ ของเจมี่กับเสียงร้องไห้โยเยของเขาเต็มไปหมด

พอรู้แบบนี้แล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ .. อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าเจมี่ไม่ได้เกลียดเขาเสียทีเดียว

 

แต่ยังยืนยันคำเดิม

เจมี่น่ะ ชอบดุใส่เขา(แค่คนเดียว) !

 

 

 

##

โทบี้ไม่พบร่างของใครอีกคนในเช้าวันใหม่ เขาคาดการณ์กับตัวเองว่าเจมี่อาจจะอยู่ที่ห้องครัว เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะคว้าผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป—มันคงจะดีกว่าถ้ารีบจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยก่อนที่จะโดนไล่ในภายหลัง

เมื่อวาน พวกเราหมดเวลาไปกับการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงพร้อมหนังสือหลายเล่มที่หยิบออกมาจากชั้นวาง มื้อเย็นยังคงเป็นอาหารแช่แข็งที่ซื้อมาติดตู้เย็นไว้เหมือนเดิม ระหว่างนั้นเด็กและชายหนุ่มสองคนยังมีประเด็นมาถกเถียงกันอยู่เป็นระยะ แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องเกิดอาการง้องอนใส่กัน

เสื้อยืดสีดำตัวใหญ่กับกางเกงวอร์มเป็นตัวเลือกที่สิ้นคิดมาก ๆ แต่เขาก็เลือกที่จะหยิบมันมาใส่ โทบี้ยืนอยู่หน้ากระจกครู่หนึ่งแล้วใช้มือสางเส้นผมตัวเองให้เข้าที่แทนการใช้หวีที่วางแอ้งแม้งไว้ที่เดิม

เมื่อเดินเข้ามาในครัวก็เห็นเจมี่ยกกระทะออกจากเตาพอดี อีกฝ่ายแต่งตัวแทบไม่ต่างจากเขาแค่เปลี่ยนกางเกงวอร์มเป็นกางเกงยีนส์ แต่กลับดูดีอย่างน่าเหลือเชื่อ—พระเจ้า นี่มันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

 

“มานี่”

 

คนโตกว่าพยักเพยิดหน้าให้เขามานั่งรออยู่ที่โต๊ะ ถึงเจมี่จะจัดการเรื่องอาหารการกินให้กับเขาถึงสองวัน แต่เชื่อเถอะ เจมี่ไม่ได้เก่งเรื่องในครัวมากขนาดนั้น

ไข่ดาว ไส้กรอก เบค่อน และขนมปังปิ้งทาเนย ใคร ๆ ก็ทำได้

 

“ออกไปซื้อมาเหรอ”

“อืม..เราคงไม่กินอาหารพวกนั้นทั้งอาทิตย์แน่ ๆ”

โทบี้ยักไหล่ ก็จริงอย่างที่ว่า

 

เสียงเห่าดังขึ้นหนึ่งครั้งตามด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งตรงมาหา คนตัวผอมรีบก้มไปรับเพื่อนสี่ขาขึ้นมากอดไว้เต็มรักเป็นครั้งแรกของวัน

เสียงหัวเราะคิกคักกับการพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียวโดยที่เจ้าหน้าขนไม่มีทางเข้าใจล้วนอยู่ในสายตาของชายหนุ่มรุ่นพี่ทั้งหมด คิ้วเรียวเลิกขึ้น พูดไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงกับภาพตรงหน้า

น้ำส้มเป็นตัวเลือกที่ดี เจมี่คิดอย่างนั้น เขาวางทุกอย่างไว้บนโต๊ะอาหารแล้วเคลื่อนตัวมานั่งตำแหน่งเดียวกับเมื่อวานนี้

โทบี้ต้องใช้มือข้างเดียวในการจัดการมื้อเช้าอีกแล้วเพราะเจ้าตัวไม่ยอมปล่อยมีโร่ออกห่างตัว

ท่าทางเงอะงะในการพยายามใช้ส้อมเขี่ยเบค่อนให้พับกันเป็นชั้น ๆ ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างแรง เจมี่ละความสนใจจากมื้อเช้าของตัวเองไปหั่นทุกอย่างที่อยู่ในจานของโทบี้ให้มีขนาดพอดีคำ โดยเจ้าตัวก็ยอมวางส้อมไว้แล้วหยิบขนมปังขึ้นมากัดแทน

มื้อเช้าของเขาไม่ได้ทุลักทุเลอย่างที่คิด เพราะมีเจมี่ช่วยเหลือในตอนแรก มือขาวสางเส้นขนสีเข้มของเพื่อนตัวน้อยที่นั่งลิ้นห้อยอยู่บนตัก สายตาของเขาจับจ้องไปยังเจมี่ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำที่เกาะบนจานออก

 

“ทำไมพี่ถึงยอมมาง่ายจัง”

เจมี่หันมามองเขาครู่หนึ่ง—ครู่เดียวเท่านั้น

“เป็นนายจะปล่อยบ้านทิ้งไว้ทั้งอาทิตย์—”

“ไม่ อันนั้นผมรู้ แต่หมายถึง..ทำไมพี่ถึงตอบรับง่ายจัง แค่คุณป้าไหว้วานพี่ก็มาเลยเหรอ” เจมี่เก็บจานเข้าที่เดิม หันมาหาเขา

“นั่นป้าฉันนะ”

กลอกตาครั้งที่หนึ่ง

“ผมรู้ .. แต่ น้องชายพี่น่ะ ?”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แซม ?”

“นั่นแหละ ! ใช่เลย .. ทำไมเขาไม่มาแทนล่ะ ?”

“หมอนั่นติดเพื่อน คงไม่อยากมาติดแหง็กอยู่คนเดียวที่นี่หรอก หมอนั่นไม่สนิทกับนาย ถูกไหม ?”

โทบี้กลอกตารอบที่สอง “แล้วพี่ไม่มีธุระของตัวเองเหรอ ?”

“มี”

โทบี้เลิกคิ้ว

“แต่มันไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก”

 

เจมี่หันกลับไป คว้าขวดน้ำในตู้เย็นขึ้นมากระดกเหมือนที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง เด็กหนุ่มคิดจะถามอะไรเพิ่มเติมนิดหน่อยแต่อีกฝ่ายกับพูดขึ้นมาก่อน

 

“ที่สำคัญกว่าน่ะ”

“…”

“อยากมาดูว่าเด็กแถวนี้โตรึยัง”

“…”

“ตอนแรกคิดว่าคงน่ารัก—แต่เปล่า ก็ดื้อเหมือนเดิม”

 

 

##

“มีโร่ มานี่เร็ว”

 

เวลาแค่ห้านาทีเท่านั่นที่โทบี้จะยอมปล่อยเพื่อนหน้าขนลงไปเดินเล่น เขาหยิบขวดน้ำและสิ่งของจำเป็นลงในกระเป๋าเป้ใบเล็ก เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเขาไม่ลืมอะไรจึงเหวี่ยงกระเป๋าไปสะพายไว้ด้านหลังแล้วลงไปนั่งยอง ๆ รอเพื่อนสนิทโผเข้าหา

เจมี่ยืนพิงขอบประตูมองคนอายุน้อยกว่าที่เอาแต่พูดอะไรงุบงิบอยู่เดียวครู่ใหญ่กว่าจะยอมเดินตรงมาหาเขา—โทบี้บอกว่าทุกเช้าจะพามีโร่ไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกล แต่วันนี้ผิดแผนไปหน่อยเลยต้องออกไปวิ่งช่วงสายแบบนี้ เขาก็เลยจะตามไปดูแล

 

“พี่จะไปไหน ?”

โทบี้ร้องทักเมื่อเห็นว่าคนตัวสูงก้าวฉับ ๆ ออกจากรั้วเตรียมเลี้ยวเข้าไปยังบ้านที่สร้างอยู่ติดกัน

“ไปเอารถ”

“หา ?”

“เราจะไม่เดินไปใช่ไหม ?”

“ใช่ ..”

“ถ้างั้น ฉันจะไปเอารถ เราจะได้ไปที่สวนสาธารณะกัน..มีอะไรอีกไหม ?”

“พี่จะเอารถอะไรมา”

คราวนี้เป็นเจ้าของใบหน้าดุดันที่กลอกตาให้กับคำถามที่หลุดออกมาจากเรียวปากน่ารัก

“มอ’ไซค์”

“มีตะกร้าหน้ารถไหม ?”

“ไม่มี”

“งั้นไม่ไป !”

รูปคิ้วที่เคยยกขึ้นขมวดเข้าหากันทันทีเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมทำหน้าตกอกตกใจ

“ไหนบอกว่าจะไม่เดิน ? ถ้าไม่นั่งมอ’ไซค์ฉันไปแล้วจะไปยังไง”

 

โทบี้ชี้นิ้วไปยังจักรยานที่ถูกวางพักไว้ใกล้ ๆ พุ่มไม้ประดับรั้ว พูดตามตรง เขาไม่ทันสังเกตเลยว่ามีมันอยู่ตรงนั้น เจมี่หันกลับมาหาคนตัวขาวอีกครั้ง อีกฝ่ายเองก็จ้องเขากลับมาเหมือนกัน และยังยกมือค้างไว้เหมือนเดิมคล้ายจะยืนยันในสิ่งที่คิด

 

“โอ้—พระเจ้า”

 

สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องไปเข็นจักรยานคันนั้นออกมาที่หน้าบ้าน โทบี้ยอมตกลงที่จะไม่สวมหมวกกันน็อคเพราะเขาให้เหตุผลว่ามันเกะกะ แต่ให้ข้อแม้ว่า พวกเขาไม่ใส่ แต่มีโร่ต้องใส่ !

“นั่งดี ๆ นะ อย่าทำหลุดล่ะ ไม่งั้นจะเกิดอันตราย”

หลังหย่อนเพื่อนสี่ขาลงกับตะกร้าด้านหน้าพร้อมใส่หมวกให้เสร็จสรรพ โทบี้กระซิบกระซาบด้วยใบหน้าจริงจังถึงแม้ว่าเพื่อนหน้าขนของเขาจะหันมองซ้ายขวาไม่ได้สนใจเลยก็ตาม

โทบี้รีบเหวี่ยงตัวขึ้นไปซ้อนเบาะหลังแล้วจับชายเสื้อของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ขอรับหน้าที่เป็นคนขับแทน

จากหนุ่มบิดมอเตอร์ไซค์ต้องมาปั่นจักรยานเนี่ยนะ ? ถ้าคนรู้จักมาเห็นคงขำจนฟันร่วง..แต่มันก็ดูดีกว่าการนั่งซ้อนเด็กหน้าขาวนี่ล่ะนะ

พวกเขาเคลื่อนที่ออกจากตัวบ้านตามด้วยเสียงเห่าโฮ่ง ๆ ทักทายพุ่มไม้ ใบไม้ของมีโร่ แต่คนที่ตอบรับกลับเป็นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังนี่สิ

ให้ตายเถอะ ไม่อายสายตาชาวบ้านรึยังไงนะ ?

ถ้าถามเจมี่ ..

ไม่ล่ะ

 

ก็เสียงหัวเราะของโทบี้มันน่ารักเสียจนเขาหุบยิ้มไม่ลงน่ะสิ

 

 

##

“ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้”

โทบี้เงยหน้าขึ้นจากการพับขากางเกงขึ้นให้สะดวกกับการวิ่ง ข้างตัวเขาคือมีโร่ที่กำลังวิ่งวนอยู่กับที่เพราะตื่นเต้นเต็มทนที่จะได้วิ่งเล่นเสียที—เจมี่หย่อนตัวที่ม้านั่งฝั่งเดียวกับจักรยานที่ถูกวางพิงต้นไม้ ร่มเงาด้านบนพอจะบดบังแสงแดดให้เขาระหว่างใช้เวลานับสิบนาทีในการรอเด็กหนึ่งคนและสุนัขหนึ่งตัววิ่งรอบสวนสาธารณะ

“อื้อ .. มีรถขายฮอตด็อกอยู่ตรงนั้น เผื่อพี่จะอยากได้อะไรรองท้อง” เขาพยักเพยิดหน้าไปยังพื้นที่ที่เยื้องไปเบื้องหน้า มีรถขายฮอตด็อกและไอศกรีมจอดอยู่ตรงนั้น

“นายมากกว่าที่อยากได้อะไรแก้หิวหลังวิ่งเสร็จ”

โทบี้หัวเราะ—ครั้งนี้เขาไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกลับไป คนตัวขาวที่ผิวดูผ่องกว่าเดิมเมื่อต้องแสงแดดผุดลุกขึ้น กระโดดเหยง ๆ อยู่กับที่พร้อมผิวปากเรียกเพื่อนหน้าขนให้วิ่งมาเตรียมตัวอยู่เบื้องหน้าเขา

“ถ้าพี่จะใจดีเลี้ยงผมล่ะก็นะ”

สิ้นเสียง สองร่างก็ออกตัววิ่งไกลออกไป

 

 

เสียงเห่าโทนแหลมคุ้นหูทำให้ดวงหน้าคมเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ โทบี้วิ่งเหยาะแหยะมาอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะก้มหน้าลงไป จับต้นขาตัวเอง และโกยอากาศเข้าปอด ส่วนมีโร่ก็ลงไปนอนใช้แผ่นหลังชื้น ๆ ถูกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย

ขวดน้ำถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้ที่อยู่บนตัก โทบี้เหนื่อยเกินกว่าจะพูดขอบคุณที่อีกฝ่ายเปิดขวดน้ำให้ก่อนจะยื่นมาทางเขา ยกขวดน้ำขึ้นกระดกไม่กี่อึกก็พร่องไปกว่าครึ่ง

แขนเสื้อถูกใช้แทนผ้าเช็ดหน้าโดยไม่กลัวว่ามันจะเปรอะเปื้อน ซึ่งนั่นก็เป็นนิสัยทั่วไปของเด็กผู้ชายล่ะนะ

 

“สดชื่นมั้ย ?”

“ยอดเยี่ยมเลยล่ะ” เขาสูดหายใจลึกก่อนตอบ “พี่น่าจะวิ่งด้วย”

 

เจมี่ส่ายหน้า มองเด็กหนุ่มที่พยายามใช้มือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าและลำคอออก เขากวักมือเรียก เปิดกระเป๋าและหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา

เขาใช้มันซับตามใบหน้าชื้นเหงื่อ เจมี่ไม่ใช่ผู้ชายมือเบาดังนั้นโทบี้เลยต้องหลับตาเมื่ออีกฝ่ายกดแรงลงมา

ใบหน้าของอีกฝ่ายดูมีเลือดฝาดชัดเจนในเวลานี้ แก้มขาวเจือสีแดงดูเปล่งปลั่งน่ารักจนไม่อยากละสายตา

 

“เอ้า เรียบร้อย”

ทำได้แค่คิดนั่นแหละ

 

โทบี้ผงกหัวแทนคำขอบคุณแล้วยกขวดน้ำขึ้นกระดก

“วิ่งเสร็จแล้วไปไหนต่อ ?”

คนตัวขาวยักไหล่ ถ้าเขาอยู่คนเดียว—และนี่เป็นตอนเช้า คงจะกลับบ้านไปอาบน้ำแล้วลงมานั่งแช่หน้าโทรทัศน์กลางห้องนั่งเล่นจนถึงเย็น

แต่เพราะมันไม่ใช่ เขาเลยนึกไม่ออกว่าจะต้องทำอะไรหลังจากนี้

 

“ปกติก็กลับบ้าน .. พี่อยากทำอะไรก่อนไหมล่ะ ?”

 

เจมี่พยายามนึก แต่เรื่องเดียวที่นึกถึงคงเป็นเรื่องอาหารการกิน เมื่อเช้านี้เขาแค่ออกไปที่ร้านสะดวกซื้อ หาอะไรก็ได้ที่พอจะทำเป็นมื้อเช้า(สาย)และมื้อเที่ยงให้เด็กตรงหน้า ถ้าอย่างนั้น—คงจะพาอีกฝ่ายแวะไปที่ห้างเล็ก ๆ ที่ขี่จักรยานผ่านเพื่อซื้ออะไรก็ได้ตุนไว้สำหรับทำอาหารสัก 2-3 วัน เรื่องเสื้อผ้าน่ะเอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน

เขายอมรับ เขามาที่นี่เพื่อ’ดูแล’เจ้าหนูนี่ ซึ่งเขาไม่ได้เตรียมพร้อมว่าจะต้องพาอีกฝ่ายไปไหนมาไหน นี่ไม่ใช่ถิ่นอาศัยเขาเสียหน่อย..ก็แค่ เคยเป็น

“ซื้อของติดตู้เย็น เมื่อเช้าฉันซื้อมาเท่าที่นายเห็น”

“โอ้..เยี่ยมเลย ผมจะได้ซื้อขนมกลับไปด้วย และ— พี่ไม่ต้องพยายามนึกว่าจะพาผมไปทำอะไร ที่ไหน ผมมีความสุขกับการนอนดูซีรี่ย์โง่ ๆ อยู่ที่บ้าน”

โทบี้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันเป็นระเบียบ มือกร้านเอื้อมไปยีกลุ่มผมชื้นเหงื่อด้วยความรู้สึกมันเขี้ยวระคนเอ็นดู

ไม่ใช่เด็กเกเรแท้ ๆ แต่เพราะระบบความคิดแบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยคบหากับใครนัก เจมี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านอกจากเพื่อนสี่ขาหน้าขนตัวนี้ โทบี้มีเพื่อนสนิทกี่คน ?

 

“มาเร็ว”

คนโตกว่าเอ่ยขึ้นระหว่างเคลื่อนจักรยานคันเก่าออกมาจากที่ตั้ง มีโร่ถูกคว้าไปไว้ในอ้อมแขนแล้วหย่อนลงไปในตะกร้าหน้ารถเหมือนขามา ตามด้วยเหวี่ยงตัวเองขึ้นไปซ้อนท้าย

“กอดแน่น ๆ ล่ะ”

“พี่ซิ่งไม่ได้สักหน่อย”

มือขาวที่เคยจับอยู่ตรงชายเสื้อ เปลี่ยนไปกอดรอบเอวนั้นแทน

 

 

##

โทบี้ถูกสั่งให้ขึ้นไปอาบน้ำหลังกลับถึงบ้าน ใช้เวลาไม่นานในการเลือกซื้อของมาติดบ้านไว้สักสองถึงสามวัน แต่เราหมดเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงไปกับการเลือกซื้อขนมของโทบี้ การได้เห็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีพูดเจื้อยแจ้วขณะหยิบนู่นนี่ลงรถเข็นทำให้เขาไม่อยากขัดอะไร และนั่นเป็นเหตุให้เราต้องมองหน้ากันหลังจ่ายเงิน

เพราะ—ถุงที่พะรุงพะรังไปหมดจนเกือบนึกว่าจะขี่จักรยานกลับมาไม่ได้เสียแล้ว

 

เพิ่งจะเลยเที่ยงมาได้ไม่นานแท้ ๆ แต่โทบี้กลับวิ่งลงบันไดมาด้วยชุดนอน รอบนี้เขาเจอเจมี่อยู่ที่ห้องนั่งเล่น—ไม่ใช่ในครัวอย่างที่ควรจะเป็น

มื้อเที่ยงสำหรับสองคนและขนบขบเคี้ยวถูกวางไว้บนโต๊ะกระจกเตี้ย ๆ ที่วางไว้หน้าโซฟา แน่นอน เจมี่ไม่ลืมมื้อเที่ยงของมีโร่ โดยจัดแจงวางไว้ที่พรมใกล้กัน

มือขาวหยิบแผ่นมันฝรั่งใส่ปากระหว่างเชื่อมต่อโทรทัศน์เข้ากับสมาร์ทบ็อกซ์เพื่อหาซีรีย์ดูระหว่างมื้ออาหาร พอหันกลับไปก็เห็นเจ้าของกลุ่มผมยาว ๆ จ้องกลับมาด้วยสายตาดุ ๆ

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องมันฝรั่งที่อยู่ในมือนี่ล่ะมั้ง

 

มื้อเที่ยงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ย่างเข้าสู่ช่วงเย็นแล้ว โดยที่พวกเขายังนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิม ดูซีรีย์เรื่องเดิม ต่างแค่ของว่างที่ไม่เหมือนเดิม

เวลาร่วมหกชั่วโมงหมดไปกับการถกเถียงเกี่ยวกับคนร้ายตัวจริงในซีรีย์ที่พวกเขากำลังดูอยู่ ต่างคนต่างเดาตัวละครออกมาไม่เหมือนกันโดยยกเหตุผล แรงจูงใจ และความเป็นไปได้ขึ้นมากล่าวอ้างจนต้องชักสีหน้าใส่กันหลายครั้งเพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน

สุดท้ายคนร้ายที่ถูกวางไว้ก็ถูกเปิดเผย แน่นอนว่าไม่ใช่หนึ่งในสองที่พวกเขาคาดเดาไว้

เลยทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนไปดูเรื่องอะไรก็ได้เพื่อกลบบรรยากาศมึนตึงที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง

โทบี้เปิดไปเจอซีรีย์รักวัยเรียน ซึ่งเขาไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าเนื้อหาที่ถ่ายทอดออกมาจะเป็นไปในทางไหน ในหัวเขานึกถึงแต่เรื่องการโต้เถียงร่วมชั่วโมงอันสูญเปล่า

จะบอกว่า’งอน’ก็ใช่—แต่นี่มันไร้สาระมาก ๆ และเจมี่ก็ไม่ได้ผิดที่คิดอย่างนั้น เชื่อเถอะ เจมี่กำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกับเขา

 

“ผิดคาดเลย .. ว่าไหม”

เจ้าของเรือนผมสีอ่อนเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แม้ดวงตาดุดันคู่นั้นจะจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าแต่เขาไม่ได้ยินเสียงบทพลอดรักที่ออกมาจากนักเรียนหนุ่มสาวในจอสี่เหลี่ยมนั่นเลย..โทบี้ก็เช่นกัน

“ก็.. เรื่องปกติของหนังแนวนี้”

 

โทบี้ก้มหน้าลง เล่นกับนิ้วเรียวของตัวเองพลางลอบมองใบหน้าของคนที่อยู่ด้านข้าง—อีกฝ่ายยังคงจ้องไปยังเบื้องหน้า แต่เขากลับรู้สึกว่าเจมี่ไม่ได้ให้ความสนใจกับภาพเคลื่อนไหวเหล่านั้นเลย

นัยน์ตาสีฟ้าครามหลุบลงมาอีกนิด เพิ่งสังเกตว่าทั้งคู่นั่งใกล้กันมากจนหัวไหล่ชนกันโดยไม่ทันจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ

โอเค—โทบี้ยอมรับ เขากำลังงอน..แต่ก็ไม่ได้จะ’ง้อ’คนอายุมากกว่าด้วยเหมือนกัน ก็แค่จะเรียกสติที่หลุดลอยไปไกลของอีกฝ่ายให้กลับมาด้วยการเอนศีรษะพิงไหล่กว้าง

แค่นั้นจริง ๆ

ซึ่งเจมี่เองก็ตอบสนองด้วยการพาดแขนไว้ที่โซฟาแต่หักข้อมือมาวางแนบที่หัวไหล่ของอีกคน

 

“เรื่องนี้น่าเบื่อชะมัด เปลี่ยนเถอะ”

 

เด็กหนุ่มขานรับ เปลี่ยนไปดูซีรี่ย์เรื่องอื่นอย่างว่าง่าย—แต่ไม่ใช่เพราะมันน่าเบื่อ

แต่เป็นเพราะพระนางเริ่มที่จะจูบปากกันแล้วต่างหาก

สุดท้ายพวกเขาก็ลงเอยด้วยซีรี่ย์คอเมดี้เรื่องหนึ่งในเย็นวันนั้น แน่นอนว่ามีโร่ก็ขอขึ้นมานั่งตักของเจ้าของเพื่อรับชมด้วยเช่นกัน

 

♡♡♡♡♡

[OS] เบี้ยวนัด # โอกาย

Pairing : สุชาครีย์ × วิรัชสัณห์

Note : เป็น AU ค่ะ น้องโอ ม.5 ตามจีบพี่กายปี 3

 


 

เด็กเหี้ย :

—อยู่ไหน

—เบี้ยวเหรอวะ

—อย่าคิดว่าตามถึงบ้านไม่ได้

 

“เหี้ยไรวะ”

 

เสียงทุ้มแปล่งสบถออกมาหลังได้รับข้อความนับสิบจากรุ่นน้องที่รู้จักกันมาหลายปี .. รู้จักกันนานขนาดที่ว่า ยอมให้ขึ้นมึงกูใส่กันได้โดยไม่ว่าอะไร

คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเพราะคำว่า เบี้ยว ที่อีกคนส่งมา พยายามนึกย้อนว่าตนไปให้คำสัญญาอะไรกับเด็กคนนี้ไว้มันถึงตามมาทวงยิก ๆ ขนาดนี้ จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก บางทีเขาอาจจะแค่ตอบส่ง ๆ ไปเพราะรำคาญล่ะมั้ง ไม่นึกว่ามันจะจริงจังกับเขาด้วย

 

GUY.a :

—งั้นมาบ้านกูเลยละกัน

 

เพราะคร้านจะย้อนความคิดของตัวเองเลยตัดปัญหาด้วยการตอบกลับไปแบบนั้น ยังไงการที่ไอ้เด็กเวรนั่นจะมาที่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะคนที่บ้านของเขาก็เห็นหน้ามันมาแล้ว ออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำไป

เหอะ โดนหน้าตาติ๋ม ๆ ของมันหลอกซะแล้ว

 

.
.
.

 

วิรัชสัณห์จำได้ว่าหลังตอบกลับข้อความนั้นก็รีบตรงดิ่งกลับมาที่บ้าน ทักทายผู้ใหญ่เสร็จสรรพก็ขึ้นมานอนที่ห้องของตัวเองเพราะความอ่อนเพลีย

และตอนนี้เขาก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยการโดนใครบางคนโยนกระเป๋าใส่เต็ม ๆ

 

“ไอ้พี่เหี้ย”

 

ร่างสูงลืมตาขึ้นมาด้วยอาการงงงวยระคนหงุดหงิด มองหน้าไอ้เด็กโข่งใส่ชุดนักเรียนที่ขมวดคิ้วมองกลับมา .. วิรัชสัณห์มุดหน้าลงกับหมอนใบโปรดพร้อมดึงผ้าขึ้นมาคลุมหัว แต่ยังไม่ทันจะได้หลับตาต่อ คนอายุน้อยกว่าก็พุ่งเข้ามาดึงผ้าห่มออกไป

 

“ลืมแล้วยังจะหนีอีก ! ตื่นมา !”

แล้วเขาเลยจำใจลุกขึ้นมานั่งด้วยอาการสะลึมสะลือ

 

“เด็กเหี้ย บุกบ้านคนอื่นแล้วยังไม่ให้เขานอนอีก” พูดน้ำเสียงงัวเงีย ใช้ฝ่ามือลูบตามใบหน้า “กูไปเบี้ยวไรมึงวะ”

พอถามไปแค่นั้นแหละ เห็นคิ้วของมันกระตุกยิกเลย

 

“ลืมจริงดิ ?!”

“ถ้าไม่ลืมกูจะถามมั้ย !”

 

สุชาครีย์ที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกตะคอกกลับมาจึงไม่แปลกที่จะเงียบเพราะอารมณ์โกรธที่เริ่มปะทุขึ้นมา มือเรียวเอื้อมไปคว้ากระเป๋านักเรียนของตัวเองที่เพิ่งจะปาใส่คนตรงหน้ามาสะพายไว้ แต่ยังคงยืนจ้องอยู่ไม่ได้เดินออกไปทันที

 

” .. ”

” .. ”

 

สองตาจ้องกันอยู่นานจนคนอายุมากกว่าถอนหายใจและเลิกให้ความสนใจกับคนตรงหน้า อันที่จริงเขาก็ผิดที่ดันลืมนัดอะไรสักอย่างนั่น แต่มันก็ไม่ยอมตอบมาเอง จะให้ตามใจเสียทุกอย่างมันจะกลายเป็นเด็กเคยตัว

 

“กลับบ้านไปมึงอะ”

“..”

“เออ กูลืม กูขอโทษ ให้กูนอนเหอะ”

 

วิรัชสัณห์กำลังจะล้มตัวนอนต่อแต่ถูกคว้าแขนเอาไว้ นัยน์ตาเรียวกลอกไปมาก่อนจะยอมนั่งเผชิญหน้าด้วยแบบตรง ๆ

 

“ไม่ง้อกูหน่อยอ่อ”

“มึงโตยัง ? ถ้าโตแล้วก็อย่ามางี่เง่า งอนเองก็หายเองดิ”

เด็กหนุ่มทำสีหน้าไม่ค่อยดี มีทั้งอารมณ์เหนื่อยใจ เจ็บใจ และเสียใจ แต่เขารู้ดีอยู่แล้วว่าคนตรงหน้าปากร้ายเป็นนิสัยแบบนี้

 

“วันนี้กูแข่งโคฟซองก์”

” .. ”

“มึงบอกจะมาดูอะ”

 

แล้วก็รู้สาเหตุว่าทำไมไอ้เด็กนี่ต้องหัวฟัดหัวเหวี่ยงใส่สักที .. เขาพยักหน้า ยกมือยอมแพ้เพื่อรับผิดแต่โดยดี ตอนนั้นเขาอาจจะยุ่งมากเลยตอบส่ง ๆ ไปล่ะมั้ง พอมาวันนี้ถึงได้ลืมสนิท

 

“เออ กูขอโทษ ให้ง้อไง”

“เป็นแฟนกู”

“พอทีไอ้สัส”

อดไม่ได้ที่จะทุบแขนแห้ง ๆ ของมันด้วยความหมั่นเขี้ยว

 

“ได้ที่เท่าไหร่ ?”

“เหอะ ระดับกู”

“ที่หนึ่ง ?”

“ที่สาม”

 

แล้วคนโตกว่าก็หลุดขำพรืดออกมาอย่างห้ามไม่ได้—พร้อมกับรอยยิ้มเล็ก ๆ ของใบหน้าตี๋ที่พอจะมีเค้าความหล่ออยู่บ้าง

 

“ไอ่สัส ได้ที่สามมาทำเป็นทวง ดีแล้วที่กูไม่ไป”

“ก็มึงสัญญาอะ”

 

คิ้วเรียวขมวด

 

“กลายเป็นเด็กจริงจังกับสัญญาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่ชอบมึง”

 

กูไม่น่าถามเลย

 

วิรัชสัณห์พยายามปั้นสีหน้าเอือมกลับไปแม้ว่าลึก ๆ จะไม่ปฏิเสธว่าแอบอมยิ้มกับสิงที่เด็กคนนี้พูด .. แต่ให้ทำไงได้ล่ะ ตอนนี้เขาไม่ได้ชอบมันแบบนั้น

 

“เก่ง ๆ .. กูพาไปเลี้ยงหนมเอาป่ะ”

ยิ้มกว้างตาหยีเป็นรูปสระอิพร้อมเอื้อมมือไปยีกลุ่มผมนิ่มของคนอายุน้อยกว่า..สุชาครีย์สะบัดมืออีกคนออกพร้อมโวยวายออกมา

ไม่ใช่ไม่ชอบ

แต่เขินยิ้มของมัน

 

“เงินพอเรอะ”

“กูเลี้ยงมึงตั้งแต่โรงเรียนบังคับมึงตัดหัวเกรียนละ เลี้ยงต่ออีกหน่อยทำไมจะไม่ไหว”

“เลี้ยงกูตลอดเลยได้ป่ะ”

“มีตอนไหนที่กูไม่เลี้ยงมึงบ้าง”

“กูหมายถึง เป็นแฟนกูอะ”

 

คนโตกว่าทำสีหน้าเอือมก่อนจะผุดลุกขึ้น ดันร่างที่สูงระดับสายตาของเขาให้ออกไปข้างนอกเพราะตัวเองจะเปลี่ยนเป็นชุดธรรมดา

 

“เมื่อไหร่จะตอบสักทีวะ”

เขาได้ยินเสียงแปล่ง ๆ โวยจากอีกฟากของประตู ซึ่งเขาได้แต่หูทวนลมเปลี่ยนชุดไปด้วย

“กูโตไม่พอเหรอ”

หลังจากเปลี่ยนชุดนักศึกษาเป็นเสื้อแขนยาวคอวีสีดำ ร่างสูงจึงเดินออกมาจากห้อง เห็นเด็กหนุ่มที่สะพายกระเป๋าข้างเดียวกอดอกจ้องเขม็ง

“กูเลี้ยงมึงได้นะ”

“ขี้เกียจฟังแล้วว่ะ”

เขาเดินผ่านร่างนั้นลงบันไดไป

“กูชอบมึงมาตั้งนาน มึงไม่ชอบกูบ้างเหรอ”

 

“แม่ กายพาน้องไปซื้อหนมนะ เดี๋ยวกลับ”

เขาเลี่ยงที่จะตอบเพราะตอนนี้ยังอยู่ในตัวบ้าน ไม่อยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาได้ยิน ซึ่งอีกฝ่ายก็คงเข้าใจถึงได้ปิดปากเงียบจนเดินออกมาข้างนอก

 

“ไอ้กาย ..”

“มึงนี่พยายามเนอะ”

“ก็กูชอบของกู”

 

เขาส่ายหน้าระอากับความดื้อดึงนั้น..แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำความสนิทชิดเชื้อของทั้งคู่หายไปแม้แต่น้อย

ในตอนนี้น่ะนะ

 

“มึงมันเด็กกระโปก”

“ด่าไปเหอะ ไม่สะเทือน”

เขาหัวเราะเบา ๆ

 

“ได้ที่สามเนอะ..”

” .. ”

“งั้นยอมเดทด้วยวันนึง”

” .. ”

“แค่วันนึงนะ”

 

เขาหันไปส่งยิ้มให้คนที่ตาโตก่อนจะหลุดสีหน้าเลิ่กลั่กออกมา คนตัวสูงหัวเราะเพราะปกติจะเห็นมันเก็กทำตัวหน้ามันไส้ไปเรื่อย พอเห็นมันทำหน้าเหวอแบบนี้เลยอดไม่ได้

เหวอเหรอ ?

เขินมากกว่ามั้ง

เห็นแก้มมันแดง ๆ

[OS] S I C K # โอกาย

Pairing : สุชาครีย์ x วิรัชสัณห์

Rate : PG

Note : เป็น AU น้องโอ ม.5 กับพี่กายปี 3 ค่ะ

 


 

 

ช่วงเวลาที่คนเราอ่อนแอ ตอนนั้น เราจะเผลอใจเปิดรับใครสักคนเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

และตั้งแต่วันนั้น

คุณไม่เคยออกไปจากใจผมเลย

 

.
.
.

 

“เมก้าคิล ! เป็นไงงงง”

ร่างโปร่งเด้งตัวขึ้นมาจากที่นอน ตะโกนส่งเสียงเย้ว ๆ จนคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานต้องควานหาปากกาโยนใส่แบบส่ง ๆ

 

“เออ !”

“ลอเรียลกลอเรียสกูอะ ของจริงงง”

 

พร้อมด้วยเสียงปรบมือจากเจ้าตัวที่โอ้อวดความเก่งกาจในการเล่นเกมของตัว วิรัชสัณห์กลอกตาด้วยความระอา พยักหน้าตามน้ำไปกับเด็กหนุ่มที่ยังคงพูดจ้อไปเรื่อย

ร่างสูงจดจ่อกับสมุดและชีทอีกสามเล่มบนโต๊ะ จดบันทึกเนื้อหาที่จำเป็นสำหรับการสอบพร้อมทบทวนบทความนั้นซ้ำไปซ้ำมาเงียบ ๆ

ฝั่งคนอายุน้อยกว่าที่เห็นว่าอีกคนในห้องก้มหน้าจมสู่เนื้อหาพวกนั้นเป็นที่เรียบร้อยจึงทิ้งตัวลงกับเตียงที่เขาทำการยึดตั้งแต่มาถึงที่นี่ ดวงตาเรียวยังคงลอบมองร่างสูงในเสื้อเขิ้ตสีขาวอยู่เป็นระยะ เมื่อรู้ว่ายังไงอีกฝ่ายคงหันมาให้ความสนใจเขาไม่ได้จึงเลือกที่จะจมไปกับเกมมือถือตรงหน้าบ้าง

 

ครืดด ..

 

แมทช์สุดท้ายจบลงพร้อมกับร่างสูงที่ถีบเก้าอี้ออกห่าง เจ้าของห้องหมุนตัวหันมาทางเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะลุกตามขึ้นมา

 

“หิวยัง”

“อือ”

 

เป็นอันว่ารับรู้—สองร่างลุกขึ้นตามกันมา เดินตรงไปยังห้องครัวด้านล่างที่มีหญิงวัยทองกำลังเตรียมอาหารมื้อเย็นส่วนหนึ่งไว้อยู่ โดยที่เด็กหนุ่มไม่ลืมจะกว่ากระเป๋าเป้ลงมาด้วย

หลังทานอาหารเสร็จ คงจะกลับบ้านเลย

 

“แม่—มา ๆ กายช่วย”

 

ร่างสูงปรี่เข้าไปช่วยยกหม้อตั้งไว้ที่เตา สองแม่ลูกพูดคุยเกี่ยวกับวัตถุดิบอยู่ครู่ก่อนจะจัดแจงหน้าที่ให้กันและกัน ฝ่ายคนอายุน้อยสุดในบ้านชะโงกหน้ามองเผื่อว่าทั้งสองอาจต้องการความช่วยเหลือ กลายเป็นว่าโดนชายหนุ่มไล่แบบหยอก ๆ ให้ไปรอด้านนอก

หญิงสูงวัยเอ็ดลูกชายก่อนจะตีเข้าที่ท่อนแขนเบา ๆ เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้ไม่น้อย จากนั้นจึงกวักมือเรียกเด็กหนุ่มให้เขามามีส่วนร่วมในครัว

 

มื้อเย็นจบแล้ว ร่างโปร่งในชุดมัธยมกำลังนั่งสวมรองเท้าไปพลาง ในขณะที่คนตัวสูงยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ครู่

 

“โอ มึงรอแป๊บ”

ยังไม่ทันจะหันไปตอบ คนโตกว่าก็เดินหายขึ้นชั้นบนไปเสียแล้ว สุชาครีย์ลุกขึ้นมา ยกมือไหว้และกล่าวอำลาหญิงสูงวัยแบบที่ทำเป็นประจำก่อนจะยืนรอรุ่นพี่คนสนิทที่จะต้องไปส่งเขาขึ้นรถประจำทาง

ไม่นานคนที่รออยู่ก็เดินลงมา ในมือถือเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำลงมาด้วย

 

“เอาไปใส่ อากาศมันเย็น”

 

ไม่ใช่เขาไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของอากาศ แต่คิดว่าอีกชั่วโมงกว่าเขาก็กลับถึงบ้านแล้ว นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะขึ้นไปหยิบเสื้อกันหนาวมาให้

และเขาไม่ปฏิเสธที่จะรับมันมาสวมไว้ .. พูดกันตามตรง มีหรือจะปฏิเสธ

 

“หมดหนาวแล้วเอามาคืน”

 

ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไปไกลถึงป้ายรถเมล์

 

.
.

 

“ยังไม่เลิกใส่อีกเหรอวะ”

ใบหน้าหล่อตี๋เงยขึ้นมาหาหนึ่งในกลุ่มเพื่อน มันจ้องตรงมาที่ฮู้ดสีดำพร้อมขมวดคิ้ว อาจเป็นเพราะเห็นเขาใส่เสื้อตัวนี้ตลอดสามวันที่ผ่านมาล่ะมั้งจนเกิดความสงสัย

 

“ไม่ใส่ตัวอื่นอะ”

“กูชอบ”

มันพยักหน้ารับ ส่วนเขาก้มลงให้ความสนใจกับหน้าจอโทรศัพท์เหมือนเดิม

 

M O N A :

—ตื่นยัง

—กูเรียนละ

—ไม่ตอบสักทีวะ

—บ่ายแล้วมึง

—ไม่ตอบกูจริงดิ

—โกรธไรกูป่าว

 

ข้อความตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ขึ้นว่าอ่านแล้ว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันด้วยความไม่ชอบใจปะปนกับความเป็นห่วง .. เพราะปกติแล้วอีกฝ่ายไม่เคยค้างข้อความเขาข้ามวันแบบนี้

เป็นอะไรรึเปล่า

มีกลายคำถามผุดขึ้น คาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนจบที่คำว่า ป่วย เพราะสภาพอากาศตอนนี้ที่เย็นเฉียบ

ที่ปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึงเย็นของอีกวัน ไม่ใช่เพราะเขาไม่ใส่ใจ แต่เป็นเพราะเมื่อวานติดไปทำงานกลุ่ม กว่าจะแยกย้ายก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว ถ้าไปกลับบ้านรุ่นพี่คนสนิทคงมีหวังกินเวลาไปอีกหลายชั่วโมง

 

M O N A :

—มึงเป็นไรไหม

 

เลื่อนมาจนถึงข้อความสุดท้ายที่ส่งไปช่วงบ่ายของวันนี้ซึ่งยังไม่ถูกอ่านเช่นกัน

โทรศัพท์เครื่องสวยถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงก่อนที่จะพาร่างขึ้นรถประจำทางตรงดิ่งไปที่บ้านของคนที่กำลังนึกถึง

 

.
.

 

“แม่ครับ สวัสดีครับ”

สองมือพนมไหว้หลังพบหญิงสูงวัยที่กำลังหอบหิ้วตะกร้าใส่ผ้าเดินอยู่กลางบ้าน เธอยิ้มรับ

 

“พี่กาย… เอ่อ”

“กายไข้ขึ้นน่ะลูก รู้หรือยัง ?”

สั่นหัวแทนคำตอบ

“ไปหาพี่เขาได้นะ แต่ระวังติดไข้”

 

เด็กหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ แล้วบทสนทนาจึงจบลงแค่นั้น ร่างโปร่งรีบสาวเท้าขึ้นไปชั้นสอง เอื้อมมือจับที่ลูกบิดก่อนจะดันเข้าไปให้ส่งเสียงเบาที่สุด..

สุชาครีย์ชะโงกหน้ามองภายใน เห็นเตียงเดี่ยวที่มีผ้าห่มผืนหนาม้วนอยู่ด้านบน เดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของร่างซุกอยู่ใต้นั้น

พอย้ายร่างไปบริเวณหัวเตียงก็เห็นว่าเสี้ยวหน้าด้านบนโผล่ออกมาจากผ้าห่ม ที่หน้าผากมนมีคูลฟีเวอร์แผ่นใหญ่แปะอยู่ เด็กหนุ่มย่อตัวลงบริเวณนั้นแล้วเอื้อมมือไปแตะที่พวงแก้มของคนป่วย

ร้อน .. มาก ๆ

แต่จะปลุกคนป่วยขึ้นมาเช็ดตัวก็ใช่เรื่อง เห็นใบหน้าพริ้มเหมือนกำลังหลับฝันดีแล้วไม่อยากเข้าไปขัด เลยตัดสินใจนั่งหันหลังพิงกำแพงรอจนกว่าคนบนเตียงจะตื่น

 

.
.

 

“.. —”

วิรัชสัณห์พยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมา .. สิ่งแรกที่ปรากฏแก่สายตาคือร่างเด็กหนุ่มคนสนิทที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่เบื้องหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน พยายามยืดสุดแขนเพื่อผลักหัวทุยนั้นเบา ๆ

 

“อะไร—วะ ..”

ใบหน้าหล่อตี๋ผงกขึ้นมา เตรียมชี้นิ้วด่าใครก็ตามที่เข้ามารบกวนเวลางีบของเขา .. แต่เมื่อเห็นว่าเป็นดวงตาใสแจ๋วของคนป่วยที่มองมา ปากที่อ้าอยู่พลันหุบทันที

 

“ตื่นแล้วแล้วอ่อวะ”

“เออ เมื่อกี้”

มือกร้านรั้งผ้าห่มลงไป พยุงตัวขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เด็กหนุ่มตั้งใจจะเข้าไปช่วยแต่ถูกอีกฝ่ายยกมือห้ามเสียก่อน

 

“มาไมวะ..”

“มาดูว่าตายยัง”

“ปากหมา”

อีกฝ่ายหัวเราะตามด้วยเสียงสูดน้ำมูก

 

“เดี๋ยวก็หาย กลับไปเหอะ..อยู่นี่ไม่มีไรให้ทำ”

“เช็ดตัวให้มึงไง”

“มึงจะติดไข้กูมั้ยล่ะ”

 

เขาสั่นศีรษะก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งบนเตียงพร้อมจ้องหน้าคนป่วยไปพลาง ไม่บ่อย—ไม่สิ เขาไม่เคยเห็นคนตรงหน้าป่วยถึงขั้นนอนซมแบบนี้เลย ส่วนมากก็แค่ใส่มาส์กปิดปากเดินไปไหนมาไหนสบายใจเฉิบ

เห็นหน้าตาอ่อนเพลียแบบนั้นแล้ว..นึกถึงตอนมัธยมต้นที่ป่วยหนักจนไปเรียนไม่ได้ทั้งอาทิตย์

แล้วก็มีมันที่มาดูแลทุกเย็น

 

“ให้เช็ดตัวให้ป่ะ”

“ไม่ต้อง” อีกฝ่ายส่ายหน้า

“ไมอะ”

“เดี๋ยวมึงติดไข้”

“ทีกูป่วย มึงยังเช็ดตัวให้กูได้เลย”

เขาเลิกคิ้ว สงสัยว่าตัวเองเคยไปเช็ดตัวหรือเฝ้าไข้มันตอนไหน ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนจะร้องอ๋อออกมา—ผ่านมาเป็นปี ยังจำได้อยู่อีก

 

“ก็ดูมึง ร่อแร่ไม่เหมือนกู”

เด็กหนุ่มส่งเสียงเหอะออกมาเบา ๆ พร้อมเบ้ปากไปด้วย ก็นั่นมันตอนนั้น ไม่ใช่ตอนนี้สักหน่อย

 

“… แล้ว ทำไมยังจำได้อยู่วะ”

ร่างโปร่งชะงักกึก เหลือบมองคนโตกว่าที่จ้องเขาตาไม่กะพริบ

 

“ประทับใจมั้ง”

“เออ มีไว้ก็ดี เพราะตั้งแต่นั้นกูไม่น่าเคยทำอะไรให้มึงประทับใจ” เสียงทุ้มที่แหบไปถนัดตาส่งเสียงหัวเราะแผ่ว เอื้อมมือไปขยี้กลุ่มผมสีเข้มของอีกฝ่ายเบา ๆ

มือเรียวเอื้อมไปคว้าข้อมือของอีกคนไว้ แม้จะดูเป็นคนที่แข็งแรงแต่ลำตัวกลับดูบอบบางกว่าที่คิด—วิรัชสัณห์เลิกคิ้ว

 

“กาย”

“หือ .. ”

“ตอนที่กูป่วยอะ”

” .. ”

“กูชอบมึงตั้งแต่ตอนนั้น”

 

ความเงียบก่อตัวขึ้นพักใหญ่..มันจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่คนอายุน้อยกว่าเอ่ยปากว่าชอบออกมา วิรัชสัณห์ส่ายหน้าพร้อมระบายยิ้มจาง ๆ เนื่องด้วยไม่อยากให้บรรยากาศดูอึมครึม

 

“กูพูดจริงนะ .. ”

“ก็ไม่ได้บอกว่าไม่จริง”

 

คนอายุน้อยกว่าพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมา ก่อนจะหมุนตัวหนีไปทางอื่น เขานั่งก้มหน้า ไม่ปฏิเสธเลยว่าเหนื่อยแค่ไหนที่ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงแต่ไม่มีการตอบรับ

บางครั้งอีกฝ่ายก็ทำเหมือนมันเป็นแค่เรื่องตลก

 

“อะไรทำให้มึงเกิดชอบกูขึ้นมา”

สุชาครีย์หันมองร่างสูงที่ย้ายมาหย่อนขานั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปเหมือนเดิม

 

“ชอบที่มึงมาดูแล”

“น้องกูทั้งคน ไม่ไปดูสิแปลก” พร้อมเอื้อมมือไปตบแผ่นหลังนั้นเบา ๆ

“มึง..มึงไม่มีทางรู้ตัวหรอก ว่าสายตาตอนนั้นของมึงเป็นแบบไหน แล้วมันมีอะไรสะท้อนออกมาบ้าง”

” .. ”

“ถามจริง ๆ .. มึงลืมความรู้สึกตอนนั้นไปแล้วเหรอวะ แล้วที่ผ่านมาอะ มึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

 

มีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ เป็นคำตอบที่ถูกส่งมาให้แทนคำพูด พร้อมกับการส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า สุชาครีย์สูดหายใจเข้าเต็มปอด แนบใบหน้าลงไปที่ฝ่ายมือทั้งสองของตัวเอง

 

“มึงรู้มั้ย..เวลาที่ร่างกายคนเราอ่อนแอ จิตใจมันจะอ่อนไหวตามไปด้วย”

“.. อ่า”

“ตอนนั้นมึงเป็นห่วงกูมาก—จริง ๆ .. กูคิดว่าตัวเองแค่ใจสั่นที่มึงทำดีด้วย เพราะกูก็เป็นแค่เด็กคนนึง”

” .. ”

“กูคิดว่าพอกูหายป่วย กูจะเลิกความรู้สึกนั้นได้—แต่เปล่าเลย”

” .. ”

“จนถึงตอนนี้ กูชอบมึงมากขึ้นทุกวัน”

” .. ”

“ไม่เปลี่ยนเลย”

 

วิรัชสัณห์ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป..ว่ายังไงดีล่ะ เขารู้ว่าเด็กคนนี้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งมอบให้ แค่ไม่รู้ว่ามันมากมายและมีมายาวนานขนาดนี้

ก็เลย..พูดไม่ออก

ร่างสูงโน้มตัวลงให้ใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับคนข้างตัว..สะกิดนิดสะกิดหน่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งมันก็ได้ผล อีกฝ่ายยอมหันหน้ามาหาแต่โดยดี

 

“กูห้ามความรู้สึกมึงไม่ได้หรอก ..”

” .. ”

“แต่กูควบคุมความรู้สึกตัวเองเป็น”

 

เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง .. ก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะเบิกโตขึ้น

แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร—เสียงของหญิงสูงวัยด้านล่างก็เรียกให้พวกเขาไปทานมื้อเย็นเสียก่อน

คำพูดทุกอย่างจึงถูกเก็บไว้

 

“เอาเถอะ วันนึงมึงก็เลิกชอบกูเอง”

เขาพูดพร้อมกับหัวเราะ ผิดกับหน้าตาเหวอ ๆ เมื่อครู่ที่เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ

 

“โห..ไอ้เหี้ย กูอุตส่าห์มีซีนหล่อ ๆ เป็นของตัวเอง กูชอบของกูมาตั้งนานเสือกบอกว่าเดี๋ยวกูก็เลิกชอบมึงได้เอง ไอ้เหี้ย เอาส้นตีนคิดเหรอ”

พร้อมกับลุกขึ้นยืนเดินปึงปังออกไป

 

..

 

อาห๊ะ .. รับมือกับเด็กนี่ยากจริง ๆ

 

 

[OS] MAMA # ม า ร์ ค กิ ต

Pairing : ณภูมิ x กฤษฎา

Rate : PG

Note : เรื่องเก่าเล่าใหม่ .. กะพริบตาก็อ่านจบแล้ว # 3

 


 

โทรศัพท์เครื่องสวยถูกวางไว้ที่หน้าตักหลังเจ้าของใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงหมดไปกับการเข้าเล่นโหมดจัดอันดับ กฤษฎาปิดเปลือกตาส่ายศีรษะเบา ๆ เพื่อไล่อาการปวด ก่อนจะคว้าขึ้นมาเพื่อเริ่มเล่นต่อ

 

“เฮ้ย จบยัง”

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับโผล่หน้าออกมาจากครัวขนาดเล็กในห้องของตน ขายาวก้าวมาใกล้ ในมือถือจานที่มีผัดมาม่าหน้าตาธรรมดา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียงที่ถูกยึดโดยคนอายุน้อยกว่าไปเรียบร้อย

 

“พักก่อน กินข้าว”

“กูเพิ่งกดไป”

“เอามาให้กูเล่นมา”

 

มือหนาอีกข้างยื่นไป แต่ไม่ได้การตอบรับใดมาจากคนตัวเล็ก..หนำซ้ำยังเอนตัวพิงกำแพงห้องเผื่อพาตัวออกห่างเขาไปอีก

 

“เปี๊ยกมึงอย่าดื้อ กูห่วง กูอุตส่าห์หาข้าวให้มึง—กูทำเองเลยเนี่ย”

คนตัวเล็กเหลือบตามองเพียงชั่วครู่ก่อนจะก้มหน้างุดลงไปอีกรอบ..ณภูมิถอนหายใจออกมาเพราะเขาไม่รู้จะต่อรองกับคนตรงหน้ายังไงดี หรือพูดให้ถูกก็คือ อีกฝ่ายพูดอะไรมาเขาก็ใจอ่อนหมด

 

“เปี๊ยก .. กินก่อน หมดนี่แล้วกูจะไม่ยุ่งตอนมึงเล่นอีกเลย”

ดวงตาเรียวจ้องคนที่ยังเพ่งหน้าจออยู่ มือเล็ก ๆ ขยับจิ้มที่หน้าจออีกไม่กี่ครั้งก่อนจะลดต่ำกว่าดวงหน้า เงยหน้ามองคนที่ทำน้ำเสียงอ้อยอิ่งใส่ด้วยสีหน้าเอือม

 

“ให้ตาเดียว” พร้อมกับยื่นโทรศัพท์มาให้แล้วคว้าจานข้าวไปถือเอง

 

ณภูมิยิ้ม—อย่างน้อยก็ยอมกินแหละวะ

 

..

 

เกมจบลงด้วยเวลาเพียงสิบห้านาที โดยที่เขาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ .. ณภูมิวางโทรศัพท์ลงกับเตียงแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนที่ยังละเมียดละไมกับการกิน

ร่างสูงเท้าคางลงที่หัวเข่า มองใบหน้าเยาว์ที่ก้มต่ำจนกลุ่มผมนิ่มร่วงมาปรกเสี้ยวหน้า .. ตอนนี้ที่พอจะมองเห็นก็มีแค่แก้มขาวที่นูนขึ้นเล็กน้อยจากการม้วนเส้นมาม่าเข้าปาก

เขารู้ตัวว่าตัวเองจ้องอีกฝ่ายนานมาก ๆ .. มากเสียจนเขารับรู้อาการประหม่าของคนอายุน้อยกว่าที่พยายามตีหน้านิ่งแต่ไม่เนียนเอาเสียเลย

.. และไม่ปฏิเสธเลยว่าเขาชอบมันมากเช่นกัน

 

“…. มาร์ค— ไอ้มาร์ค”

 

เสียงเรียกของกฤษฎาทำให้เขารู้สึกตัวอีกครั้ง แม้จะจำไม่ได้ว่าตัวเองเริ่มเหม่อไปตั้งแต่ไหน .. ณภูมิชะงัก มองปลายนิ้วของตัวเองที่แตะข้างแก้มของคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ

ที่ทำให้แปลกใจกว่าคงเป็นอาการตระหนกของคนตัวเล็กกว่า แม้จะมีสีหน้าอึกอัก แต่เขาไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะขยับหนีเลยแม้แต่น้อย ..

กฤษฎาแค่หลุบสายตาไปทางอื่น

 

“.. เอ้อ อิ่มยัง”

ณภูมิจำต้องชักมือกลับ..ชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดเพราะคงจะเป็นเขาเองที่รู้สึกไม่ดีแทนคนตรงหน้า

 

“อือ”

อีกฝ่ายขานรับทั้งที่เส้นมาม่าในจานพร่องไปแค่ครึ่งเดียว .. แต่อย่างที่รู้ เด็กคนนี้เป็นประเภทเลี้ยงง่ายแต่กินยาก

 

“นิดเดียวเอง กินเยอะ ๆ หน่อยดิ” เขาพยายามคะยั้นคะยอ

กฤษฎาเงียบ ส่ายหน้าเบา ๆ เชิงปฏิเสธ..ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วขยี้กลุ่มผมนิ่มของตัวเองแบบหมดอาลัย

 

“อะ เอามา เดี๋ยวกูเอาไปเก็บ—”

เขาผงะไปนิดหน่อยที่เห็นอีกฝ่ายม้วนเส้นมาม่าแล้วยกส้อมขึ้นมาไว้ตรงหน้าริมฝีปากเขา .. คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัยในการกระทำของอีกฝ่าย หลายครั้งที่คนอายุน้อยกว่าชอบทำอะไรที่เขายากจะคาดเดา

 

“ช่วยกินหน่อย..เสียดาย”

” .. ”

“นะ”

 

มีใครรู้รึเปล่า—ไม่สิ กฤษฎาเคยรู้บ้างรึเปล่าว่าทุกคำพูดของตัวเองมีผลกับคนตัวโตกว่าไปเสียทุกอย่าง .. และเขาทำตามทุกคำพูดอย่างยินดี

“เออ” แล้วเขาก็ยอมอ้าปากรับเส้นมาม่าหน้าตาธรรมดาเข้าปาก..แต่ดูเหมือนจะอร่อยขึ้นเมื่อคนมีคนตรงหน้าเป็นคนป้อน

 

“เอาไปเก็บไป แล้วมาเล่นกับกู”

“โยนผ้าห่มลงมาหน่อย เดี๋ยวกูปูนั่งข้างล่าง”

“ไม่ต้อง ..”

“..”

 

“มาหนุนตักกูนี่”

 

 

[OS] Cigarette # โ อ ก า ย

Pairing : สุชาครีย์ x วิรัชสัณห์

Rate : PG

Note : กะพริบตาก็อ่านจบแล้ว # 2

 


 

กายหงิด:

—ตอบกู

 

นิ้วเรียวกดเข้าแอปพลิเคชันสีเขียวหลังเห็นข้อความของหนึ่งในเพื่อนร่วมทีม เขาเลื่อนอ่านข้อความนับสิบที่ถูกส่งมาก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย .. และยกบุหรี่มวนเดิมจรดริมฝีปาก

 

กายหงิด:

—อ่านแล้วตอบดิ

—อยู่ไหน

 

ข้อความเดิม ๆ ถูกส่งซ้ำมาอีกครั้งหลังผ่านมาเกือบสิบนาที สุชาครีย์ส่งเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเมื่อข้อความถามไถ่เริ่มกลายเป็นข้อความด่าทอ เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงเพื่อตัดปัญหา—ไม่สิ ไว้ค่อยไปคุยทีเดียวเลยดีกว่า

ควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า หลังหมดมวนนี้เขาจะได้กลับขึ้นห้องพักไปพูดคุยกับเพื่อนตัวดีสักที ป่านนี้คงโวยวายใหญ่จนโดนรุมฟาดหมอนใส่แล้วล่ะมั้ง

 

“เลิกได้แป๊บ ๆ มึงก็สูบอีกละ”

 

เสียงทุ้มแปร่งดังขึ้นด้านหลัง ร่างสูงหันกลับไปมอง ไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่ก็ยอมรับว่าประหลาดใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอยู่ไหน

 

“มาไง”

“ไอ้สัด ก็กูบอกมึงว่าจะไปข้างนอก ให้มึงพาไป แต่มึงไม่ตอบ กูก็เลยจะไปเองนี่ไง .. พอลงมาก็เห็นมึงยืนแอคสูบบุหรี่เป็นพระเอกเนี่ย”

 

สุชาครีย์หัวเราะ มิวายโดนด่ากลับมาว่าหัวเราะทำไม ดวงตาเรียวเล็กมองคนที่ยืนกอดอกจ้องกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาจำเป็นต้องทิ้งบุหรี่ที่เหลือลงพื้นก่อนจะใช้เท้าเหยียบให้ไฟมอดดับไปเสีย

 

“สูบให้ปอดแหกไปเลยดิ หยุดไม”

“ก็จะพามึงไปนี่ไง ไปไหนอะ”

“ไม่ต้อง กูจะไปเอง”

 

“มึงอย่ามางี่เง่า” มือเรียวเอื้อมไปผลักศีรษะคนตัวเล็กกว่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม วิรัชสัณห์สบถออกมาแบบไม่ถือสาแล้วเดินเข้าไปชนไหล่คู่สนทนาเป็นการเอาคืน

ทีแรกสุชาครีย์คิดว่าอีกฝ่ายจะออกไปไหนไกล แต่เปล่า แค่จะออกไปห้างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ เราทั้งคู่เลยตกลงกันว่าจะเดินเท้าไปเพื่อประหยัดน้ำมันและเดินรับลมเย็น ๆ ตอนกลางคืนไปด้วยเลย

 

“เออ..ไหนบอกจะเลิกแล้วไง”

“กำลังจะเลิกไง มึงงงอะไร”

 

อีกฝ่ายเงียบ—เขาหันไปมองความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะเอาเข้าจริงเวลาได้คำตอบแบบนี้มันจะต้องโวยวายกลับมา .. แต่คราวนี้มันนิ่ง ไม่ได้มีสีหน้ายินดียินร้ายอะไร ซึ่งเขาเข้าใจว่ามันคงไม่อยากคะยั้นคะยอ หรือไม่ก็ไม่อยากยุ่งเรื่องนี้นัก

 

“.. เครียด นิดเดียว”

“…”

“วันเดียว พรุ่งนี้เอาใหม่”

 

“มึงมันไอ้โง่” และก็ได้ผล..ใบหน้าหล่อที่มีเค้าความน่ารักปรากฏรอยยิ้มให้เห็น มือเรียวตบที่บ่ากว้างสองสามทีก่อนจะผละมือกลับไป

สุชาครีย์อมยิ้ม..แม้เขาจะชอบก่อกวนอีกฝ่ายและพูดจาชวนตีให้ต้องหัวเสีย แต่ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสบายใจเท่ารอยยิ้มของคนข้างตัวอีกแล้ว

มือเรียวขยับออกไปหมายจะคว้ามืออีกฝ่ายมากอบกุมเอาไว้ ในช่วงเวลาค่ำที่ไม่มีคนพลุกพล่านแบบนี้เราทั้งคู่คงไม่เป็นจุดสนใจเท่าไรนัก แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะได้สัมผัสกัน…

 

“เลิกเพื่อคนอื่นมันก็ดี ..”

” .. ”

“แต่กูอยากให้มึงเลิกเพื่อตัวเอง”

” .. ”

“ไม่ต้องมาพูดว่าจะเลิกเพื่อกู กูไม่เคลิ้มหรอก..ใจป่ะ ไอ้ดื้อ”

 

มือกร้านถูกคว้าไป นิ้วทั้งสิบสอดประสานกันอย่างอัตโนมัติแม้คนที่อายุมากกว่าจะหลุดอาการเก้อเขินออกมาภายหลัง นัยน์ตากลมเหลือบมองใบหน้าหล่อตี๋ของคนข้างตัวที่กำลังอมยิ้มแบบไม่มีสาเหตุ—ที่จริงเขาก็พอจะรู้อยู่แล้วแหละ แม้นานครั้งจะได้พูดอะไรแบบนี้สักทีแต่ก็อดจะรู้สึกใจสั่นไม่ได้

ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ

 

“ตอบกู เข้าใจมั้ย”

“กูเคยดื้อกับมึงด้วยเหรอ”

“ทุกรอบอะไอ้เด็กเวร”

 

สุชาครีย์หัวเราะเสียงแผ่ว..แกว่งมือที่กุมไว้อย่างเชื่องช้าก่อนจะหันไปพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 

“เดี๋ยวทำให้ดูเลย”

 

 

[OS] Zzz .. # โ อ ก า ย

Pairing : สุชาครีย์ x วิรัชสัณห์

Rate : PG

Note : กะพริบตาก็อ่านจบแล้ว

 


 

 

“ไอ้กายอยู่ไหน”

 

ประโยคคำถามที่เรียบง่ายพอ ๆ กับน้ำเสียงทำเอาคนที่ยังหลงเหลืออยู่งงเป็นไก่ตาแตก มองหน้าคนถามสลับกับคนอื่นในห้องว่าเกิดอะไรขึ้น และจะตอบยังไง..แต่คนที่เพิ่งมาเยือนเมื่อครู่ก็ไม่ได้มีสีหน้าหงุดหงิด ออกไปทางง่วงงุนเสียด้วยซ้ำคงเพราะเพิ่งกลับจากเรียนแถมเมื่อคืนก็เล่นเกมด้วยกันจนเกือบเช้า

 

“อยู่ห้องมันอะ”

 

เมื่อเห็นพ้องว่าไม่มีอะไรแปลก พงษ์ดนัยจึงเป็นคนตอบคำถามนั้นก่อนจะก้มหน้าเล่นเกมต่อ แล้วเสียงโวยวายที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง

ร่างสูงที่ยืนหน้าทางเข้าอยู่นานพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินผ่านโซฟาห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมทีมที่เหลือตรงดิ่งไปยังห้องนอนประจำของคนที่เขาเพิ่งจะถามหา

เขาเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ต้องขอเพราะเจ้าของห้องไม่เคยล็อคอยู่แล้ว..และถึงเรียกไปก็คงไม่ขานรับ เพราะเจ้าตัวกำลังนอนม้วนเป็นก้อนอยู่ใต้ผ้าห่ม—สุชาครีย์ปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะตรงไปทิ้งตัวลงบนเตียงพอให้คนที่นอนอยู่รับรู้แรงสะเทือน

 

‘ … ‘

 

ร่างสูงเงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงอู้อี้ลอดผ่านเนื้อผ้าออกมาเชิงว่า กูจะนอน ใบหน้าง่วงงุนปรากฏรอยยิ้ม เขาโน้มตัวใช้ศีรษะพิงส่วนที่น่าจะเป็นช่วงเอวของอีกฝ่าย..เท่าที่คาดการณ์ด้วยสายตาน่ะนะ

มีเสียงไม่พอใจแว่วออกมา แต่คนอายุน้อยกว่ายังคงก่อกวนร่างที่กำลังจะเคลิ้มอีกรอบ จนแล้วจนรอดวิรัชสัณห์จึงร่นผ้าห่มลงแล้วหันขวับไปหาคนที่เพิ่งผงกหัวขึ้นหนีความผิด

 

“นอนเหี้ยไรเยอะแยะ”

 

“ไอ้ควาย กูเพิ่งนอน” ตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่ยังคงมีอาการสะลึมสะลืออยู่ “หน้ามึงก็พอ ๆ กับกู ไอ้หมีควาย”

 

สุชาครีย์หัวเราะ—รู้ดีว่าสภาพของตัวเองเหมือนคนไม่เต็มร้อยขนาดไหน เขาพร้อมหลับตลอดเวลาที่เดินทางกลับมายังที่พัก

ที่ยังประคองร่างมาถึงที่หมายได้เพราะอยากกลับมาหากำลังใจของตัวเองนี่แหละ

 

“กลับห้องมึงไป…กูจะ นอน”

ร่างสูงโปร่งพลิกตัวมาหาเขา เปลือกตาหนักอึ้งเสียจนเริ่มพูดจางึมงำไม่ได้ศัพท์

 

“ห้องมึงก็ห้องกู ห้องทุกคนก็ห้องกู” ว่าจบก็ทิ้งตัวลงไปนอนข้าง ๆ หงายหน้าขึ้นมองเพดานแล้วสอดแขนเรียวไว้ใต้ศีรษะตนเอง

 

อีกฝ่ายเงียบไปแล้ว ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเพียงอย่างเดียว .. สุชาครีย์ที่อยู่ในอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ มาค่อนวันก็เริ่มต่อสู้กับความง่วงไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาจึงปิดเปลือกตาลงอย่างเชื่องช้า

แต่ก่อนที่จะปิดสนิท

ร่างด้านข้างเริ่มเคลื่อนไหว อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วหนุนศีรษะลงที่ช่วงแขนของเขา—สุชาครีย์ยิ้ม และถ้ายังมีแรงเหลือเฟือจะขยับ คงหันไปกอดคนที่เพิ่งจะใช้แขนพาดที่ลำตัวของเขาไปแล้ว

 

ถ้าตรงดิ่งเข้าห้องตัวเองไปแต่แรก คงไม่นอนหลับฝันดีแบบนี้แน่ ๆ

[ROV] H I M | NAKROTHMURAD

Title : H I M

Pairing : Nakroth × Murad

Rate : PG15

Note : เป็น AU ค่ะ เกี่ยวกับทหารในโลกอนาคต และการต่อสู้กับเอเลี่ยนและปิศาจที่เป็นภัยคุกคาม นึกอิมเมจสองคนในสกินอีโวนะคะ แหะ แหะ

 


 

(เพิ่มเติม…)